เรื่องเด่น ประสบการณ์หลวงปู่โลกอุดรและคำวินิจฉัยจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 21 พฤษภาคม 2017.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    18556171_454530171558914_5839440412193535838_n.jpg

    “พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ” นั้น เป็นที่รู้กันดีในวงนักปฏิบัติและพระอริยเจ้าด้วยกันว่า ท่านเป็นพระแม้เป็นพระวิมุตติบริสุทธิ์และยังทรงคุณธรรมพิเศษทางด้านมโนยิทธิ อภิญญาสมาบัติอีกด้วย มีปกติสนทนาติดต่อกับสิ่งลึกลับที่พวกเราคนปุถุชนสามัญธรรมดาไม่มีตารู้เห็นไม่อาจสัมผัสได้ แต่สำหรับหลวงพ่อฤๅษีลิงดำนั้นท่านกลับสามารถพูดคุยสนทนาได้ปกติ หลวงพ่อฤๅษีลิงดำนั้นท่านมีความสามารถทางเห็นผีเห็นวิญญาณมาแต่เล็ก เมื่อโตขึ้นครบบวชก็ได้ฝากตัวเป็นศิษย์ “หลวงพ่อปาน” เพราะนิสัยซน อยากรู้อยากเห็น กล้าไม่กลัวใคร หลวงพ่อปานจึงเรียกท่านว่า “ลิง” และเหตุที่ท่านมีผิวคล้ำ หลวงพ่อปานจึงเรียกท่านว่า “ลิงดำ”

    พระอริยเจ้าหลายท่านที่รับรองคุณวิเศษและความบริสุทธิ์ของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ เช่นหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก จ.อยุธยา หลวงปู่บุดดา ถาว โร วัดกลางชูศรี สิงห์บุรี ครู บาชัยวงศ์ษา วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม จ.ลำพูน ครูบาชุ่ม โพธิโก วัดพระบาทวังมุย จ.ลำพูน ครูบาธรรมชัย จ.ลำพูน หลวงปู่มหาอำพัน วัดเทพสิรินทร์ หลวงปู่สิม พุทธาจาโร วัดถ้ำผาปล่อง จ.เชียงใหม่ เพียงเท่านี้ก็น่าจะการันตีรับรองความสามารถของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีลิง ดำได้ว่าท่านจะเก่งกล้าสามารถขนาดไหน

    ย้อนมาถึงเรื่องราวของ “หลวงปู่เทพโลกดุดร” ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่เลื่องลือมานานกว่า ๗๐ ปีมาแล้ว ตั้งแต่ ช่วงสงครามเวียดนาม เรื่องราวของพระภิกษุลึกลับก็ยิ่งแพร่สะพัดว่า คอยช่วยเหลือทหารที่กำลังตกอยู่ในภาวะอันตรายจนรอดตายมาได้ และถ้าจะกล่าวว่าผู้ที่นำประวัติพระอภิญญาลึกลับมาเปิดเผยจนกระทั่งโด่งดัง ท่านแรกๆ ก็น่าจะเป็นพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีลิงดำนี่เอง ท่านเป็นผู้เล่าเรื่องพระองค์ที่ ๑๑ มาตั้งแต่ปี ๒๕๑๘ โน่น เนื้อเรื่องนั้นท่านได้กล่าวไว้ดังนี้ว่า

    เรื่องนี้เป็นประสบการณ์โดยตรงของท่าน เนื่องจากการรับนิมนต์ไปงานของคหบดีท่านหนึ่งที่ จ.ราชบุรี ทันที่ที่คณะพระรับนิมนต์ไปถึงบ้านเจ้าภาพท่านนี้ปรากฏว่ามีพระภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งนั่งหัวแถวคอยอยู่ก่อน พระ ท่านอื่นๆ ที่สูงวัยกว่าก็งงแต่ก็ไม่ว่าอะไร เจ้าภาพเองก็งง เมื่อสอบถามจากเจ้าหน้าที่ที่คอยล้างเท้าพระก่อนขึ้นเรือนก็ ได้รับคำตอบว่าไม่เห็นท่านเดินผ่านมาเลย ไม่ทราบว่าขึ้นไปบนเรือนได้อย่างไรก็ได้แต่ งง!

    หลวงพ่อฤๅษีลิงดำเล่าต่อว่า เมื่อพระลึกลับลับรูปนั้นไม่ยอมขยับถอยลงไป ทางพระที่รับนิมนต์ท่านก็ไม่ว่า เมื่อเจ้าภาพเห็นว่าคณะพระที่รับนิมนต์ไม่ว่าอะไร ท่านก็ปล่อยตามเรื่องเหมือนกัน เพราะเห็นเป็นเรื่องของพระ เมื่อเวลาพระจะให้ศีลให้พรนั้นปรากฏว่า เมื่อท่านเริ่มสวดขึ้นเสียงของท่านดังไพเราะอย่างยิ่ง เมื่อกล่าวสวดมนต์สวดพรจบแล้ว จนกระทั่งฉัน ท่านก็ฉันเพียงนิดเดียว คือฉันข้าวคำเดียวเท่านั้น แล้วก็ลาญาติโยม เวลาลาท่านก็ลุกขึ้นแล้วเดินลงบันได ตรงไปที่ทุ่งนาโล่งๆ ทุกคนมองตามกันหมด เพราะอยากรู้ท่านไปทางไหน พอท่านเดินไปสักพักทุกคนเห็นด้วยตาของตนเลยว่าร่างท่านหายไปในอากาศ เป็นที่น่าอัศจรรย์! นี่เป็นเรื่องของพระแปลกที่ออกมาโปรดญาติโยม

    เนื้อเรื่องเดียวกันนี้ “อาจารย์สิทธา เชตะวัน” ได้เล่าไว้อีกเหตุการณ์หนึ่งว่า ที่บ้านคหบดี จ.นครปฐม ลูกชายโชคดีจับได้ใบดำ ไม่ต้องเกณฑ์ทหาร ท่านคหบดีดีใจมากจึงนิมนต์พระมาฉันเพลที่บ้านทำบุญใหญ่ให้ลูกชาย งานนี้เมื่อถึงเวลาปรากฏว่ามีพระหนุ่มมานั่งหัวแถว เช่นเดียวกับที่หลวงพ่อฤๅษีลิงดำเล่า พระที่มาได้รับนิมนต์มาถึงก็งงสร้างความไม่พอใจให้แก่พระเถระอาวุโสเท่าใดนัก เจ้าภาพก็ย้อนมาถามคนคอยล้างเท้าพระว่า พระหนุ่มลึกลับรูปนี้มาแต่ไหน ขึ้นมาได้อย่างไร คนคอยล้างเท้าก็ไม่ทราบเพราะท่านขึ้นไปบนเรือนตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ทางเจ้าภาพไปเจรจากับพระลึกลับขอให้ท่านไปนั่งท้ายแถว พระลึกลับรูปนี้ก็กล่าวว่า

    “อาตมาอาวุโสที่สุดในสถานที่แห่งนี้ ดังนั้นอาตมานั่งในที่นี้จึงถูกควรแล้ว”

    เมื่อท่านยืนยันเช่นนั้นก็เป็นที่จนใจแก่เจ้าภาพและพระภิกษุรูปอื่นๆ ท่านเจ้าภาพต้องขอให้พระรูปอื่นๆ อนุโลมยอมตามกันไป สร้างความไม่พอใจแก่คณะพระที่มา ต่างสงสัยว่าพระหนุ่มรูปนี้จะเป็นพระจริงหรือเปล่าหน้าตาแบบนี้เป็นพระหรือเณรกันแน่

    ครั้นแล้วถึงเวลาพระให้ศีลสวดพระพุทธมนต์ เรื่องน่าอัศจรรย์ก็เกิดขึ้น ทันทีที่พระหนุ่มลึกลับเริ่มสวดนะโมขึ้น ดินฟ้าอากาศก็เกิดวิปริต มหาเมฆใหญ่ปกคลุมทั่วท้องฟ้า จนมืดมิดไปหมด เสียงฟ้าร้องครืนคราน พร้อมๆ กันสายอสุนีบาติได้ฟาดลงมาหลายต่อหลายครั้งจนแสบแก้วหู เสียงของพระหนุ่มก้องกังวานใส เมื่อทุกคนเงยหน้าขึ้นดูพระหนุ่มดังกล่าวก็ต้องอัศจรรย์ใจ เพราะบัดนี้พระหนุ่มรูปดังกล่าวกลับกลายเป็นพระชราอายุน่าจะร่วมร้อยปี รูปร่างสูงใหญ่ หูยานผิดคนธรรมดา เมื่อท่านสวดจบท้องฟ้าอากาศก็พลันแจ่มใสขึ้น ครั้งเวลาฉันท่านก็ฉันข้าวกับเกลือเพียงคำเดียว แล้วกล่าวว่าอาตมาต้องการมาโปรดญาติโยมทั้งหลาย ผู้ใดใคร่เป็นศิษย์อาตมาให้ไปในป่าแถบกาญจนบุรี ท่านพูดเพียงเท่านี้แล้วก็ลา การลาของท่านนั้นคือตัวท่านค่อยๆ จางหายไปในอากาศ จนหายไปหมดทั้งร่าง สร้างความตะลึงงันแก่ทุกผุ้ทุกคนรวมทั้งพระทุกรูปในงานนั้น นี่คือปาฏิหาริย์จากหลวงปู่ใหญ่โลกอุดรตามบันทึกของอาจารย์สิทธา เชตะวัน

    ทั้งสองเรื่องจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีลิงดำและท่านอาจารย์สิทธา เชตะวัน คล้ายกันพฤติการณ์นี้น่าเป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นพระทรงอภิญญาหลวงปู่ใหญ่องค์ เดียวกันก็ได้ เพราะคล้ายคลึงกันอยู่มากทีเดียว

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีลิงดำนั้น ท่านมีประสบการณ์เกี่ยวกับพระอภิญญามากครั้งด้วยกัน แต่ท่านไม่ระบุว่าเกิดจาก “หลวงปู่โลกอุดร” มีเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวกับพระลึกลับซึ่งน่าสนใจมากคือ ท่านเล่าไว้ว่าสมัยหลวงพ่อปานท่านมีชีวิตอยู่นั้น ขณะที่ท่านคุมงานก่อสร้างเสนาสนะในวัดบางนมโค เคยมีพระลึกลับรูปหนึ่งตะโกนเรียก “หลวงพ่อปาน” ว่า “ไอ้ปาน” คนในวัดฟังเข้าก็ไม่ชอบคิดว่าพระรูปนี้เป็นใครกันจึงกล้ามาพูดเช่นนี้ เมื่อหลวงพ่อปานท่านเห็นพระรูปนี้เข้า ท่านมีตาใน ท่านรู้ว่าพระลึกลับรูปนี้คือใคร ปรากฏว่าท่านรีบเข้ามากราบทันที พระลึกลับรูปดังกล่าวก็ลูบหัวหลวงพ่อปาน แล้วสอนว่าถ้าจะทำอะไรแล้วนั้นให้บอกพระประธานก่อนนะ เสมือนว่าเรากราบทูลพระพุทธองค์ก่อน พระ ลึกลับรูปนี้เปลี่ยนจากท่าทีเกรี้ยวกราดเป็นเมตตาทันทีและเรียกหลวงพ่อปานว่า “ลูก” เมื่อถึงคราวลาท่านเดินออกไปกลางทุ่งแล้วหายตัวไปเลยเป็นที่อัศจรรย์ หลายคนเข้าไปถามหลวงพ่อปานว่าพระลึกลับรูปนี้คือใคร ท่านตอบแต่เพียงว่าเป็นพระที่มีความสำคัญมาก สำคัญมากๆ ท่านตอบเพียงเท่านี้แล้วไม่พูดอะไรอีกเลย

    ที่กล่าวมาเป็นเพียงส่วนหนึ่งจากที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีลิงดำเล่าเอาไว้ เกี่ยวกับพระอภิญญาลึกลับ ที่นี้มาถึงการวินิจฉัยเรื่อง “หลวงปู่โลกอุดร” จากหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ท่านเล่าไว้อย่างนี้ว่า ท่านเคยสงสัยเรื่องหลวงปู่โลกอุดรเหมือนกัน จนกระทั่งได้เจอกับ “คณะหลวงปู่โลกอุดร” มีเป็นคณะไม่ได้มีองค์เดียว คณะหลวงปู่โลกอุดรนั้นท่านเหล่านี้ล้วนเคยปรารถนาพุทธภูมิ มีบารมีแก่กล้ามาแล้วทั้งนั้น มาตอนหลังท่านถอนคำอธิษฐานด้านพุทธภูมิแล้วมาปฏิบัติหน้าที่ ดูแลพระพุทธศาสนาอย่างลึกลับ เรียกว่าคอยช่วยงานแบบปิดทองหลังพระ ท่านเหล่านี้จึงมีฤทธิ์อภิญญามากเป็นพิเศษ นี่คือที่หลวงพ่อฤๅษีลิงดำกล่าวไว้

    และสรุปได้ว่าหลวงพ่อฤๅษีลิงดำท่านก็เป็นท่านหนึ่งที่ยืนยันว่า หลวงปู่ใหญ่โลกอุดรนั้นมีจริง ท่านเคยปรารถนาพุทธภูมิมาก่อนแล้วลา อีกประการคือท่านมีเป็นคณะไม่ได้มีองค์เดียว

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ กล่าวยืนยันว่า หลวงปู่โลกอุดร ชื่อจริงๆ ก็คือ “ อุตตระ” เป็นพระที่นำพระไตรปิฎกเข้ามาสุวรรณภูมิ ความจริงท่านมากัน ๒ องค์คือ “อุตตระกับโสณะ” ท่านมาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในแถบนี้หลังจากที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ปัจจุบันท่านก็ยังอยู่ ...ถ้าถามว่าอยู่ได้ยังไง อย่าลืมคำหนึ่ง พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ผู้ใดถ้าคล่องอิทธิบาท ๔ สามารถจะอธิษฐานร่างกายอยู่ถึงกัปหนึ่ง" คำว่ากัปหนึ่งไม่ใช่ ๑๒๐ ปี แต่หมายถึงกัปที่มีความยาวนานเป็นล้านปี ท่านอยู่ด้วยอำนาจฌานสมบัติ ถ้าอธิษฐานเอาไว้ด้วยกำลังฌานกายสังขารท่านก็ดำรงอยู่ด้วย เรียกว่าอยู่ได้ด้วยฤทธิ์อิทธิบาทณานนั่นเอง

    ขอขอบคุณที่มา : ทิพยจักร, หนังสือบารมีเหนือโลกหลวงปู่เทพโลกอุดร
     
  2. namonamonamo

    namonamonamo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    136
    ค่าพลัง:
    +367
    ...เมื่อ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว

    ต่อมาประมาณพุทธศตวรรษที่ 3
    พระเจ้าอโศกมหาราชผู้ทรงปกครองประเทศอินเดียในสมัยนั้น มีความศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา
    พระองค์ได้ทรงให้ความอุปถัมภ์โดยทรงจัดให้มีการทำสังคายนาพระพุทธศาสนาครั้ง ที่ 3 ขึ้นในปี พ . ศ . 236
    ณ วัดอโศการาม นครปาฎลีบุตรแคว้นมคธ ( ปัจจุบันคือเมืองปัฏนะ เมืองหลวงของรัฐพิหาร )
    ทรงอาราธนาพระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระ เป็นประธาน หลังจากทำสังคายนาร้อยกรองพระธรรมวินัยเสร็จสิ้นแล้ว
    พระโมคคัลลีบุตรได้จัดคณะพระธรรมทูตออกเป็น 9 คณะแล้วส่งไปประกาศพระศาสนาในดินแดนต่าง ๆ ดังนี้

    คณะที่ 1พระมัชฌันติกเถระเป็นหัวหน้าคณะไปเผยแผ่พุทธศาสนา ณ แคว้นกัษมีระ และคันธาระ ในปัจจุบันได้แก่ ประเทศปากีสถาน และอัฟกานิสถาน

    คณะที่ 2 มีพระมหาเทวะเป็นหัวหน้าคณะ ไปเผยแผ่พุทธศาสนา ในแคว้นมหิสมณฑล ปัจจุบันได้แก่ รัฐไมซอร์ และดินแดนแถบลุ่มแม่น้ำโคธาวารี ซึ่งอยู่ทางใต้ของประเทศอินเดีย

    คณะที่ 3 มีพระรักขิตเถระเป็นหัวหน้าคณะไปเผยแผ่พุทธศาสนา ณ วนวาสีประเทศ ในปัจจุบัน ได้แก่ ดินแดนทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศอินเดีย

    คณะที่ 4 มีพระธรรมรักขิตเป็นหัวหน้าคณะ ไปเผยแผ่พุทธศาสนา ณ อปรันตกชนบท ปัจจุบันสันนิษฐานว่า คือดินแดนแถบชายทะเลเหนือเมืองบอมเบย์

    คณะที่ 5 มีพระมหาธรรมรักขิตเป็นหัวหน้าคณะไปเผยแผ่พุทธศาสนา ณ แคว้นมหาราษฎร์ ปัจจุบันได้แก่ รัฐมหาราษฎร์ของประเทศอินเดีย

    คณะที่ 6 มีพระมหารักขิตเป็นหัวหน้าคณะไปเผยแผ่พุทธศาสนาในเอเซียกลาง ปัจจุบัน ได้แก่ ดินแดนที่เป็นประเทศอิหร่านและตุรกี

    คณะที่ 7 มีพระมัชฌิมะเป็นหัวหน้าคณะไปเผยแผ่พุทธศาสนา ณ ดินแดนแถบภูเขาหิมาลัย ปัจจุบันสันนิษฐานว่า คือ ประเทศเนปาล

    คณะที่ 8 มีพระโสณะและพระอุตตระเป็นหัวหน้าคณะไปเผยแผ่พุทธศาสนา ณ ดินแดนสุวรรณภูมิ ซึ่งปัจจุบัน
    คือประเทศในคาบสมุทรอินโดจีน เช่น พม่า ไทย ลาว เขมร เป็นต้น


    คณะที่ 9 มีพระมหินทเถระผู้เป็น พระราชโอรสของพระเจ้าอโศกมหาราช เป็นหัวหน้าคณะไปเผยแผ่พุทธศาสนา ณ เกาะลังกา ซึ่งในปัจจุบัน
    ได้แก่ ประเทศศรีลังกา การเผยแผ่พระพุทธศาสนา ที่พระโมคคัลลีบุตรเถระดำเนินการ
    โดยจัดส่งพระธรรมทูตคณะต่างๆ ประกาศพระศาสนาในต่างแดนนั้น
    แม้ส่วนใหญ่จะยังอยู่ในอาณาเขตของชมพูทวีป หรือประเทศอินเดียในปัจจุบัน
    แต่ก็ถือว่าเป็นการประกาศศาสนา ในเชิงรุกทำให้พุทธศาสนา
    ได้แพร่หลายกว้างไกลออกไปยังดินแดนต่างๆ อย่างแพร่หลายเป็นที่รู้จักของมหาชน

    สันนิษฐาน กันว่า พระสมณทูตสายที่ 8 คือพระโสณะกับพระอุตตระนี่เอง ที่นำพุทธศาสนาเข้ามาสู่ดินแดนสุวรรณภูมิ ซึ่งก็คือบริเวณจังหวัดนครปฐม
    โดยสันนิษฐานจากการพบตราพระธรรมจักร ที่นักโบราณคดี สันนิษฐานกันว่า น่าจะอยู่ในช่วงประมาณ พ . ศ . 236



    คณะพระธรรมทุต คณะที่8ได้แก่

    1. พระอุตตรเถระ เรียกกันว่า พระครูโลกอุดร หรือหลวงปู่ใหญ่ หรือหลวงพ่อดำ ซึ่งท่านเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี เรียกท่านว่า “พระโลกอุดร”

    2. พระโสณเถระ เรียกกันว่า พระครูโลกอุดร เช่นกัน ฉายานาม หลวงปู่ขรัวตีนโต ซึ่งท่านเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี เรียกท่านว่า “พระโสอุดร”

    3. พระมูนียะ เรียกกันว่า หลวงปู่โพรงโพธิ์ หรือท่านอิเกสาโร หรือหลวงปู่เดินหน

    4. พระฌานียะ เรียกกันว่า หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า

    5. พระภูริยะ เรียกกันว่า หลวงปู่หน้าปาน



    ....ตามหลักฐานบันทึก กล่าวเพียงพระโสณเถระ ไม่ได้กล่าวถึงพระอุตตรเถระ (อุตร ก็คือ อุดร) เป็นปัญหาว่า
    หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดรเป็นองค์ใดกันแน่ เพราะในสมัยปัจจุบันกล่าวถึงบรมครูพระเทพโลกอุดร
    ไม่มีใครรู้จักพระโสณะเถระ ข้อเท็จจริง ท่านทั้งสองเป็นพี่น้องร่วมสายโลหิต องค์พี่คือพระอุตตระ
    มีร่างกายสันทัด องค์น้องคือพระโสณะ มีร่างกายสูงใหญ่ มีฉายาว่า ขรัวตีนโต ถ้านำพระธาตุมาตรวจนิมิตจะบอกว่า
    โสณ-อุตตร ไม่แยกจากกัน องค์น้องบรรลุอรหันต์ก่อนองค์พี่ แต่มีความเคารพองค์พี่มากต้องกราบองค์พี่
    แต่เหตุที่บรรลุก่อนพี่ชายจึงเรียกว่า โสณ-อุตตร ไม่เรียกว่า อุตตร-โสณ ฉะนั้น หลวงปู่ใหญ่ก็คือ พระอุตตระ นั่นเอง
     
  3. ครูเรือง

    ครูเรือง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2010
    โพสต์:
    976
    ค่าพลัง:
    +686
    1. พระผู้อยู่เหนือโลกนั้น มีหลายองค์ครับ
    2. อยากฝาก คำเรียกหลวงปู่ฤาษี วัดท่าซุงครับ ไม่อยากให้ใช้คำว่า ลิงดำ เพราะคำว่า ลิงดำ นี้ หลวงพ่อปานท่านเป็นคนเรียก เพราะหลวงพ่อปานท่านเป็นอาจารย์ของหลวงพ่อฤาษี ส่วนพวกเราถือว่าเป็นหลานเป็นโหลนของท่าน ควรเรียกหลวงพ่อฤาษี ก็พอแล้ว (ท่านพล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน ท่านก็เรียกหลวงพ่อฤาษี ครับ ต้องขออภัยที่เอ่ยนามท่านครับ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2017
  4. เจี๊ยบ รักพ่อหลวงภูมิพล

    เจี๊ยบ รักพ่อหลวงภูมิพล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,646
    ค่าพลัง:
    +4,273
    น้อมจิตกราบพระอริยะเจ้าทุกพระองค์เจ้าค่ะ สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...