เรื่องเด่น หลวงปู่บุดดากับหลวงพ่อ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย Wannachai001, 28 มีนาคม 2024.

  1. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    116
    ค่าพลัง:
    +225,723
    _166_116.jpg

    หลวงปู่บุดดากับหลวงพ่อ


    ถ้าจะมีพระสงฆ์สักองค์หนึ่ง.. ที่สามารถนั่งสนทนาโต้ตอบกับพ่อ (หลวงพ่อของพวกเรา) ได้แบบทันปากพ่อ ทันใจพวกเราแล้ว ผู้เขียนนึกออกมาได้เพียงองค์เดียวจริงๆ นั่นคือ "พระคุณหลวงปู่บุดดา ถาวโร"

    หนึ่งในจำนวนพระสุปฏิปันโนที่พ่อนิมนต์มาในงานฉลองวัด เมื่อเกือบ 24 ปีมาแล้ว ที่จริงผู้เขียน..รู้จักหลวงปู่บุดดา ก่อนที่จะได้พบพ่อ ได้กราบ ได้ฟังท่านพูด มาตั้งแต่ผู้เขียนยังพอใจจริยาสัตว์นรก คือดื่มเหล้าเมาตัวเองอยู่ (ตอนนี้ก็ยังไม่สร่างสนิท)

    ฉะนั้น..ความประทับใจใสแจ๋วจึงยังไม่มี จนกระทั่งมาพบพ่อ ได้ช่วยพ่อต้อนรับปรนนิบัติหลวงปู่ จึงได้รู้ว่านี่เราชนพระทองคํานั่งทับพระแก้วอยู่ตั้งนาน ก็ไม่รู้สึกรู้สาเลย ช่างสมกับที่พ่อเคย
    ชมเชยว่า "เหมือนทัพพีแช่น้ำแกง" เสียจริงๆหนอ

    มาจับความกันตอนหลวงปู่ท่านเข้าพักที่กุฏิรับรองเบอร์ 2 แล้ว เรื่องสนุกก็เกิดขึ้นทันที (ที่เล่านี่ไม่ได้ตั้งใจจะกล่าวร้ายท่านใดทั้งสิ้น แต่มันเป็นกุญแจนําไปสู่เรื่องที่พุทธบริษัทงุนงงกันตราบเท่าทุกวันนี้)

    คือมีญาติโยมที่ศรัทธาหลวงปู่มาอ้อนวอนให้ท่านกลับออกไปสงเคราะห์เขาที่บ้าน ทั้งๆที่หลวงปู่กําลังอยู่ระหว่างงานรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่กําลังจะเททองหล่อรูปหลวงปู่ปาน อ้อนวอนแบบท่านต้องไปจนได้ เอาท่านกลับมาส่ง ก็ส่งลงจากรถแค่ลานหน้าพระอุโบสถ ผู้เขียนอยู่ตรงนั้นพอดีก็ประคองท่านกลับเข้ากุฏิ

    ท่านเดินไปบ่นไปว่า “มันเอาหลวงปู่ไปใช้ ไม่สบายอยู่มันก็ไม่ถาม ยามันก็ไม่หาให้กิน”

    ตอนนี้ผู้เขียนน้ำตาไหลอีกแล้ว แต่ว่าร้องคนละแบบกับร้องถวายหลวงปู่คําแสนใหญ่ พี่อ๋อย (คุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา) แม่งานใหญ่ก็รีบหาหมอมาให้ทันควันเลย ถ้าจะดูสีหน้าของคนที่มีกระแสศรัทธา ..สงสาร ..สลดใจ..เจ็บใจ ปนกันออกมาในวาระเดียวกัน ผู้เขียนว่าหน้าพี่อ๋อยเป็นต้นแบบที่สมบูรณ์ที่สุด ให้ลืมยังไงก็ลืมไม่ลงหรอก

    คืนนั้นก็กวดขันกัน ไม่ยอมให้มีใครขึ้นไปรบกวนหลวงปู่ เพราะว่ารุ่งขึ้นท่านจะต้องออกไปเจริญศรัทธาญาติโยมที่มาร่วมงานวัดเหมือนหลวงปู่ทุกองค์ หากไม่หายป่วยก็จะนิมนต์ให้พักผ่อน ไม่ต้องลําาบากกายท่าน บาปใจเราเองเป็นอันขาด

    ก็ต้องเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังเสียก่อนว่า วัดท่าซุงของเราสมัยปี 2518 โน้น ต่างจากตอนนี้มากมายนัก ที่รับแขกที่โก้ที่สุดของพ่อ ก็คือศาลานวราชด้านหน้าพระอุโบสถ ส่วนศาลาบําเพ็ญกุศลใหญ่ที่สุดและมีศาลาเดียวก็คือศาลาพระ 4 พระองค์ คนละฝั่งถนนกับพระอุโบสถ.. มีแค่นี้จริงๆ

    พอถึงวันงานฉลองวัด พ่อก็มานั่งที่ศาลานวราช (ที่โยมมาติดต่อขอที่พักในปัจจุบันทุกวันนี้) ส่วนหลวงปู่พระสุปฏิปันโน ก็ไปรับแขกพรมน้ำมนต์ให้ญาติโยมที่ศาลาพระ 4 พระองค์

    เอาละ.. มาถึงตอนสําคัญแล้ว ตอนนั้นผู้เขียนถูกเรียกมานั่งอยู่กับพ่อ ญาติโยมก็มากันประปราย..วันหนึ่งๆก็ไม่เกิน 100 คน สักประเดี๋ยวพ่อก็ถอนหายใจ พูดเบาๆ กับผู้เขียนว่า

    "เออ.. หลวงปู่บุดดาป่วยยังอุตส่าห์ไปรับแขก แรงไม่มีลิงขาว (คือหลวงพ่อฤาษีลิงขาวเพื่อนร่วมบารมีพ่อ ซึ่งอยู่ในป่าเชียงตุงแถวพม่าโน้น) เขามาช่วยนั่งขนาบหลังให้หลวงปู่บุดดามีแรง"

    แล้วท่านก็พูดใส่ไมโครโฟนออกเสียงตามแบบของพ่อว่า "เอ๊า..ใครอยากรับน้ำมนต์จากฤาษีลิงขาว ไปที่ศาลา 4 องค์โน้น กำลังช่วยพรมน้ำมนต์อยู่ โน่น.."

    เท่านั้นแหละท่านเอ๋ย.. ลูกหลานชาววานรทั้งหลาย ผู้ได้เคยแต่อ่านชื่อหลวงพ่อฤาษีลิงขาวในประวัติหลวงปู่ปาน ก็เฮโลไปที่ศาลา.. ก็เห็นหลวงปู่บุดดาองค์เดียว นั่งพรมน้ำมนต์ขึงขัง
    แข็งแรงอยู่ ความปลื้มใจปีติกายก็ท่วมทัน รับน้ำมนต์ น้ำตาไหลที่ได้พบหลวงพ่อลิงขาว (ที่ตาเนื้อมองไม่เห็น) โอ.. ที่แท้ก็ หลวงปู่บุดดา เองหนอ.. ไม่ใช่ใครที่ไหน คำบอกเล่าที่เต็ม
    ไปด้วยศรัทธาเต็มใจ จะห้ามอย่างไรก็ห้ามไม่อยู่

    ข่าวนี้สร้างความงุนงงให้บรรดาศิษย์หลวงพ่อไม่น้อย เอ๊!.. ก็หลวงพ่อฤาษีลิงขาวเป็นเพื่อนอายุเดียวกับพ่อเรา (ซึ่งเพิ่งจะ 50 กว่าๆ เมื่อปี 18) แต่หลวงปู่บุดดาอายุตอนนั้นก็เกือบ 80 แล้ว.. จะใช่หรือ? หรือว่าหลวงพ่อฤาษีลิงขาวเนรมิตกายให้แก่? หรือว่าอยู่ในป่าแก่เร็วกว่าอยู่ในเมือง?

    โอย..ท่านเอ๋ย ผู้เขียนเข้าใจแจ้งในคำโบราณที่ว่า "ฟังไม่ได้ศัพท์ จับเอาไปกระเดียด" นี่มันออกดอกออกผลงอกต้นผลิใบขนาดไหน.. กับข่าวนี้พ่อหัวเราะชอบใจ หัวเราะดังมากๆ
    เลย..

    "ดีเหมือนกัน คนจะได้ตามไปช่วยหลวงปู่กันมากๆ"

    ก็จบเรื่องข่าวที่แม้ทุกวันนี้ประชาชนก็ยังงงกันอยู่ ขอแถมอีกหน่อยเถอะ คือเรื่องข่าวหลวงพ่อฤาษีลิงขาวเป่ายันต์เกราะเพชรให้ชาวบ้าน ก็ขอให้จบไปจากใจพวกเราลูกพ่อ ด้วยคำตอบที่เด็ดขาดของพ่อที่ว่า

    "จะไปว่าเขาไม่ใช่ ก็ไม่ได้.. ใครก็มีสิทธิ์ตั้งชื่อลิงขาว ลิงเล็กได้ทั้งนั้น.. แต่เป็นลิงคนละฝูงกับของข้า"

    โอย.. มาถึงตรงนี้ก็จบไม่ได้แล้ว เพราะอาจจะมีบางท่านสงสัยใคร่รู้ว่า ทำไมหลวงพ่อ 2 องค์ ท่านออกจากป่าไม่ได้ ท่านออกมาน่าจะช่วยเจริญศรัทธา จรรโลงพระศาสนา ปราบทรมานมิจฉาทิฐิให้ระบือลือลั่น ช่วยให้คนไทยหันมาเห็นคุณพระพุทธศาสนา ฝรั่งมังค่าก็จะขึ้นเครื่องบินมานมัสการเหมือนไปหาท่านไสยบาบา ทำไมจะออกมาไม่ได้?

    ก็ต้องขออนุญาติหลวงปู่บุดดา.. ขอเวลาตอบเรื่องนี้ก่อน เล่าไปตามคำ "พ่อ" ที่พูดกับผู้เขียนไปเสียเลย คือท่านพูดว่า

    "2 องค์นั้น เขามีฤทธิ์เต็มระดับ เป็นพระอรหันต์เมื่อพรรษา 2 ใจเขาสบายแต่ซุกซนตามจริตเดิม ปากพูดอะไรมันเป็นอย่างนั้นไปหมด

    ครั้งหนึ่งมีโยมผู้หญิงข้างวัดบางนมโคมาหา อายุแกสัก 50 กว่าเดินเข้ามาหา พ่อลิงเล็กตัวดีอดปากไม่ได้ตามเคย.. เอ้าโยมเดินดีๆนา เดี๋ยวจะคะมำหน้าหัวทิ่มพื้นก้นอยู่ข้างบนเสียหรอก...

    เท่านั้นแหละเหมือนตุ๊กตาล้มลุกเลย โยมคนนั้นหัวตั้งกับพื้นกระดานก้นอยู่ข้างบนแทนหัว แกก็ร้องลั่น..คุณ.. คุณ..เอาก้นฉันลง.. เอาก้นฉันลง

    พ่อลิงเล็กก็ล่อหนักเข้าไปอีก.. โยม พูดเสียงดังทำไม เดี๋ยวก้นติดเพดานหรอก.. ขาดคำ! โยมนั่นเหมือนพัดลมเพดานไปเลย แกก็ร้องดังกว่าเดิมว่า.. เอาฉันลง เอาฉันลง...

    พ่อตัวดีก็พูดว่าเอาลงก็ได้ แต่พรุ่งนี้ต้องมีแกงปลาไหลมาถึงจะลงได้ เอ้า..มี..มี ฉันเวียนหัวนาคุณ เท่านั้นแหละ! โยมก็ลงมานั่งหน้าซีดตามปกติที่พื้น"

    เรื่องมันไม่จบแค่นี้นะซีท่านผู้อ่าน.. พ่อท่านเล่าไปหัวเราะไปว่า

    "อีตอนนี้เอง.. หลวงพ่อปานไม่รู้มาทางไหน ตัวมาถึงหัวตะพดก็ถึงหัวเจ้าจอมซนดังสดใส ชัดเจนโป๊กนึง!

    "...ไอ้ลิงพวกนี้อดสันดานลิงไม่ได้ แกไปทำอย่างนี้อีกหน่อยอีนี่ (ชี้ไปทางโยมพัดลมเพดาน) มันก็ไปเล่าบอกกัน มันก็แห่กันมาหาพวกแก น้องเมีย พี่เขย พี่ป้า อา ลุง เพื่อนฝูง มันก็บอกกันต่อๆไป มาให้แกเล่นฤทธิ์ให้ดู แกขี้เกียจเข้าไม่ทำให้มันก็จะด่าว่าทีคนรวย.. ทีคนบ้านโน้น ทำให้ดูได้ ฉันมันจนมันคนห่างไกล.. แล้วมันก็จะตกนรก เพราะด่าพระ

    ถ้าแกขยันทำไปเรื่อยๆ คนก็จะหลั่งไหลผ่านวัดอื่นๆมารวมกันที่นี่ ไอ้เรื่องคนแตกตื่นแน่นวัดแต่ไม่ได้เข้ามาทำความดีน่ะ แกนึกออกไหม? แต่ที่ร้ายแรงกว่านั้นคือคนมันจะไม่ไหว้พระที่เหาะไม่ได้อย่างแก พระที่กำลังจะทำความดีไต่เต้าขึ้นมาก็จะขาดกำลังศรัทธาสนับสนุน แล้วพระศาสนาส่วนรวมก็จะถึงกาลแตกแยก.."

    โอย.. ฟังท่านแล้วเห็นโทษจริงๆ กราบก้นกระดกเลย ก็โดนเข้าไปอีกโป๊กนึง..

    "เอ้าแกสองคนนี่ (พ่อลิงเล็กกับพ่อลิงขาว) อยู่กับคนได้แค่ 10 พรรษา ไม่งั้นจะพาเขาตกนรกกันมาก.. เข้าป่าไปกินข้าวเทวดา อย่าออกมาจนวันตายเลย.. อยากจะช่วยเพื่อน (ชี้มาที่ตัวหลวงพ่อเรา) อยากจะสงเคราะห์ลูกหลานที่เกี่ยวข้องกัน ให้ออกมาในกายทิพย์เป็นครั้งคราวไป จะมาอยู่ให้คนเห็นไม่ได้"

    พอครบ 10 พรรษาก็เข้าป่าไป มาหาข้าก็มาในกายทิพย์ พบกันอยู่เสมอ ไม่อยากพบเขาก็มา หากพ่อนึกซนขึ้นมา.."

    ก็ขอจบลงตรงนี้ หวังใจว่าลูกพ่อทุกท่านคงจะจบสรุปข่าวที่งุนงงกันมานานลงได้ ก็หันมาคุยเรื่องพระคุณหลวงปู่บุดดาต่อ

    ท่านพรมน้ำมนต์ที่ศาลา 4 พระองค์ วันนั้นดูเหมือนไม่เหนื่อย แต่พอกลับมาพักที่กุฏิไข้ก็จับตามเดิม ผู้เขียนจำได้ไม่มีลืม กลับมาท่านก็ยังไม่ยอมนอนพัก นั่งอยู่ชั้นสอง กุฏิเบอร์ 2 กับผู้เขียน
    ตัวต่อตัว

    ท่านมองฟ้ามองหลังคาพระอุโบสถวัดท่าซุง ผ่านหน้าต่างกุฏิ ตายังงี้ใสแจ๋วเหมือนแก้ว.. ไร้อารมณ์ไร้เดียงสา บริสุทธิ์เหมือนดวงตาเด็ก (เด็กดีๆนะ) ปากก็พูดลอยๆ แต่ชัดเจนเหลือเกินว่า

    "เออ..งานนี้ (หมายถึงงานวัดเราที่มีพระสุปฏิปันโนมารวมกันถึง 10 องค์) จัดยากนักหนา ใครๆ จะไปนิมนต์พระดีหลายๆองค์มารวมกันยังงี้ ทำไมได้หร๊อก พระเจ้าแผ่นดินทั่วโลก พระสังฆราช สันตะปาปารวมกันไปนิมนต์ท่าน ท่านไม่มาให้หร๊อก..! แต่พระมหาวีระ (ตอนนั้นพ่อยังไม่ได้สมณศักดิ์)องค์เดียวทำได้ ท่านทำให้ลูกหลานได้ดีกัน แต่หลวงปู่ยังสงสัยว่า ลูกหลานทั้งหลายจะเข้าใจเจตนาครูบาอาจารย์ และฉวยความดีนั้นเอาไว้ได้ไหม?..."

    ท่านพูดแค่นั้นแหละ.. นิ่งเงียบไปเลย ผู้เขียนธรรมดาโง่อยู่แล้ว หลังจากนั้น อีก 3 ปีจึงได้เข้าใจจุดหมายอันลึกซึ้งยิ่งใหญ่ไพศาลที่หลวงปู่บุดดาพูดถึง จะเล่าให้ฟังในตอนสรุปท้ายเรื่อง "พระผู้เป็นเนื้อนาบุญ" ตามลำดับระยะเสันทางพระโยคาวจร

    หลวงปู่บุดดามีจริยาวาจาตรงๆง่ายๆ ใครก็ทราบกันอยู่แล้ว ที่สำคัญก็คือเป็นพระสงฆ์ที่รักผ้าครอง 3 ผืนยิ่งนัก จะเห็นว่าท่านจะพาดสังฆาฏิติดตัวอยู่เสมอไม่เคยขาด อีกอย่างก็คือ ไม่จับเงินทอง ไม่ให้ผู้หญิงเข้าใกล้ตัวเลย เรื่องสนุกมากๆก็เกิดตรงจุดนี้

    คือเมื่อเสร็จจากงานวัดแล้ว พ่อก็จัดรถนำลูกหลานไปกราบเยี่ยมหลวงปู่ที่ อ.สรรคบุรี ไปกันหลายคันรถ ศาลารับแขกของหลวงปู่ที่สำนักนั้นแน่นไปหมด พ่อก็บอกว่า

    "ลูกหลายเอ๊ย.. ช่วยหลวงปู่สร้างศาลาใหม่นะลูก ช่วยกันคนละเล็กละน้อย"

    โธ่เอ๋ย.. ถ้าหลวงพ่อออกปากอย่างนี้ ซ้ำยังบอกว่า

    "หลวงปู่บุดดาเป็นพระทองคำทั้งองค์นะลูกนะ ทำบุญกับท่านก็คือทำบุญกับพระอรหันต์นะ"

    จากคนละเล็กละน้อย ก็รวมเป็นก้อนใหญ่มากๆ จำไม่ได้ว่าเท่าไร หลวงพ่อก็สั่งให้นับจำนวนเงินมัดรวมเข้าเป็นปึกสวยเชียว

    "ถวายหลวงปู่เข้าไป เอ๊า!.. โมทนาพร้อมๆกันลูกเอ๊ย.."

    คนถือเงินน้อมถวายปุ๊บ หลวงปู่ก็คว้าย่ามมาแหวกปั๊บ แหวกกว้างเลยกะให้เงินหล่นใส่ย่ามไม่ถูกมือท่าน เท่านั้นแหละ! ท่านผู้อ่าน พ่อเราก็คว้าเงินทั้งปึกมาถือไว้.. แย่งเอาเสียเองเลย

    "หลวงปู่.... " พ่อทำเสียงยาวเลย

    "นี่.. ถ้าจับเงินไม่ได้ ก็ไม่ต้องเอานะ.. นี่ถ้าพระใจเป็นแก้วทั้งใจอย่างหลวงปู่ ยังคิดว่าไอ้แบงก์กับธาตุดินมันยังมีค่าต่างกัน.. ถ้าธาตุดินนี้มันทำให้ใจหลวงปู่เสียหายได้ ก็ไม่ต้องเอานะ.."

    เท่านั้นแหละหลวงปู่ผู้ไม่จับเงินมาตลอดชีวิต ก็มีอันเปลี่ยนไป ท่านคว้าเงินมาจากมือพ่อ

    "เอาของเขาคืนมานะ.."

    จับ 2 มือแน่นเลยชูขึ้นตรงหน้าเลย

    "นี่..นี้..นี่ บุดดาจับเงินแล้วนะ จับเงินแล้วนะ"

    จับยัดใส่ย่ามวางบนตัก ชนิดใครก็มาแย่งไปอีกไม่ได้

    พวกเราหัวเราะกันลั่นเลย หัวเราะไปใจเป็นสุขที่สุด ไม่รู้ว่าเป็นสุขเพราะอะไร... พ่อบอกอยู่เสมอว่าใจพระทองคำแท้ (พระอรหันต์) ท่านไม่ติดอะไรทั้งโลกแม้ร่างกายตัวท่านเอง แต่ท่าน
    อยู่กับร่างกายและโลก เกี่ยวพันบริหารงานโลกโดยใจไม่มีทุกข์ โทษเวรภัยใดๆมาทำให้มัวหมองแปดเปื้อนได้

    เมื่อใจไม่ติดแน่นอนแล้ว จริยาทางกาย วาจา ก็ลดลงมาหากระแสโลกเพียงเพื่อสงเคราะห์ จะได้พูดกันแนะนำกันรู้เรื่องแบบธรรมดาโลกเขา แต่จริยาท่านอยู่ในสมณมารยาท ในวินัยประเพณี ไม่มีบกพร่องด่างพร้อย

    เมื่อพ่อกล้าทำอย่างนั้น พ่อก็กล้าชักชวนให้หลวงปู่องค์อื่นออกมาทำงานแทนคุณพระพุทธเจ้า เสียก่อนที่ร่างกายจะสลายหายประโยชน์ไป พระคุณหลวงปู่บุดดาท่านเข้าใจ เต็มใจทำอยู่แล้ว เมื่อมีเพื่อนผู้รู้ใจมารับรองประคองเชิญ ท่านก็ก้าวออกมา..

    นับแต่นั้น! หลวงปู่บุดดาก็จับเงินทองได้ ให้ญาติโยมผู้หญิงผู้เลื่อมใสศรัทธาเข้าใกลัตัวท่านได้ ด้วยประการฉะนี้ (เอาเข้าให้.)

    ก่อนจะพักตอนแรกนี้ อยากจะเล่าให้ฟังและถามความเห็นท่านผู้อ่านอีกเรื่องหนึ่ง คือวันก่อนที่ในหลวงจะเสด็จฯ หลวงปู่บุดดามองหน้าผู้เขียนตาใสแจ๋ว ใบหน้าท่านเกือบยิ้มเอามือลูบศีรษะตัวเองทีนึง แล้วพูดขึ้นว่า

    "นี่..งานนี้ รัชกาลที่ 9 เขาจะเจอกับรัชกาลที่ 1 แล้วนะ เขาตามหากันมานานแล้ว พรุ่งนี้ก็จะเจอกันแล้ว"

    พูดจบก็หลับตาเลย.. คนโง่อย่างผู้เขียนจะถามก็กลัวรบกวนท่าน ใจก็คัน ปากก็.. โอย! พูดอะไรก็พูดไม่ให้จบ จนบัดนี้ผู้เขียนก็ยังไม่ได้ถามหลวงปู่บุดดา

    ตอนนี้หลวงพ่อก็จากพวกเราไปแล้ว ตั้งแต่ปี 18 มาถึงปี 42 นี่ มัน 24 ปีมาแล้ว ก็ขอรบกวนถามใจพี่น้องร่วมกระแสบุญกรรมลูกพ่อเดียวกันว่า หลวงปู่ท่านหมายถึงอะไร?

    ตอบไม่ได้ก็ไม่เป็นไรหรอก..



    (จากหนังสือ "บนเส้นทางพระโยคาวจร" วัดเขาวง จ.สระบุรี หน้า 33-44)
     

แชร์หน้านี้

Loading...