เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 10 ตุลาคม 2024 at 19:47.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    18,892
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,476
    ค่าพลัง:
    +26,306
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    18,892
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,476
    ค่าพลัง:
    +26,306
    วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๑๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ มีเรื่องโต้กันเดือดอยู่ในโซเชียล เกี่ยวกับการที่มีผู้นำสิ่งที่กระผม/อาตมภาพพูดในเสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เอาไปโต้กับอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งลักษณะของการพาดหัวคลิปอยู่ในลักษณะที่ตั้งใจจะ "ตกควาย" แล้วก็น่าแปลกมากว่า มีควายจำนวนมากวิ่งเข้าไปทะเลาะเบาะแว้งกับเขา..!

    กระผม/อาตมภาพเห็นแล้วก็เหนื่อยใจว่า อุตส่าห์สู้ทนเหนื่อยยากสั่งสอนมาจนป่านนี้ ก็ยัง "ไม่มีวัวปน" เลยแม้แต่นิดเดียว รู้อยู่แล้วว่าเรื่องของการทะเลาะเบาะแว้งกันนั้น มีแต่จะสร้าง รัก โลภ โกรธ หลง ให้กับตัวเอง ก็ยังอุตส่าห์เข้าไป "ลุย" กับเขาอีก ต้องบอกว่าถ้าคนปกติทั่วไปก็ไม่ว่ากัน แต่ถ้าในลักษณะของคนปฏิบัติธรรม แล้วไปประพฤติปฏิบัติเช่นนั้นถือว่าโง่มาก..!

    เพราะว่ากว่าที่เราจะชำระจิตใจของตนเองให้สะอาดขึ้นมาได้สักเล็กน้อย ก็เป็นเรื่องแสนที่จะยาก แต่เรากลับไปกอบโกยเอาสิ่งสกปรกเข้ามาทับถมใจของเราจำนวนมากภายในเวลาไม่กี่นาที..! ถ้าลักษณะอย่างนี้ การปฏิบัติธรรมของเราย่อมไม่มีผล เพราะว่า "ได้น้อย ขาดทุนมาก" อยู่ตลอดเวลา จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า "ทำไมปีแล้วปีเล่า เราถึงเอาดีกันไม่ได้ ?"

    แล้วก็ยังมีผู้ที่เมตตามาแนะนำให้กระผม/อาตมภาพ ลบคลิปหรือทำสกิปข้ามในส่วนที่เอ่ยถึงอาจารย์ผู้ตื่นธรรมผู้นั้น นี่ก็แนะนำด้วยความเมตตาแต่ปัญญาน้อย เพราะว่าเรื่องกระจายไปจนทั่วโลกแล้ว ไปลบออกแล้วมีประโยชน์อะไร ? ก็ในเมื่อผู้คนเขาก็อปปี้กันไปนับไม่ถ้วนแล้ว..!

    ดังนั้น..เรื่องพวกนี้จึงไม่จำเป็นที่เราจะต้องเอามาใส่ใจ สิ่งที่ควรจะใส่ใจมากที่สุดก็คือ
    ใจของเรามีความชั่วหรือไม่ ? ถ้ามีอยู่ก็รีบขับไล่ออกไป แล้วพยายามระมัดระวังไว้ อย่าให้ความชั่วนั้นเข้ามาอีก ใจของเรามีความดีหรือไม่ ? ถ้ายังไม่มี ให้เร่งรีบสร้างความดีขึ้นมา ถ้ามีอยู่แล้วก็รีบทำให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป แต่ปรากฏว่าพวกเราส่วนใหญ่แล้วไม่ได้ทำอย่างนี้ อะไรที่ "ทำให้ช้า" พวกเรามักจะไปสนใจ สนใจแล้วยังไม่พอ ยังเอากิเลสไปชนกับเขาอีก ก็ยิ่งทำให้ตนเองต้องเนิ่นช้ากันไปยกใหญ่
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    18,892
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,476
    ค่าพลัง:
    +26,306
    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ชัดเจนว่า "ตัณหา มานะ ทิฏฐิ เป็นธรรมซึ่งทำให้เราเนิ่นช้า" คำว่า "เนิ่นช้า" ในที่นี้ก็คือ การหลุดพ้นจากวัฏสงสาร พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ที่ก่อทุกข์ก่อโทษให้กับเรานับไม่ถ้วน แต่เราเองแทนที่จะลด จะละ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ให้น้อยลงไปตามลำดับ เรากลับไปเพิ่มขึ้น

    คำว่า ตัณหา ในที่นี้ก็คือความอยากทั้งปวง โดยเฉพาะความอยากมี อยากได้ อยากเป็น อย่างที่กระผม/อาตมภาพกล่าวเอาไว้แล้วว่า ถ้าเรายังใช้ความอยากนำหน้า ใช้ตัณหานำทาง การปฏิบัติธรรมของพวกเราจะไม่มีผล เนื่องเพราะว่าจิตใจฟุ้งซ่านด้วยความอยาก ในเมื่อจิตไม่สงบ เราย่อมทรงสมาธิไม่ได้ เมื่อทรงสมาธิไม่ได้ เราก็ไม่สามารถที่จะระงับกิเลสลงชั่วคราว เมื่อระงับกิเลสชั่วคราวไม่ได้ กำลังใจไม่ผ่องใสพอ ก็มองไม่เห็นหนทางว่าจะลด จะละ จะเลิก กิเลสทั้งหลายไปจากใจได้อย่างไร

    ส่วนมานะก็คือความถือตัวถือตน เรียกง่าย ๆ ว่าแบกตัวกูของกูมาแต่ไกล โน่นก็ตัวกู นี่ก็ของกู นั่นลูกกู ผัวกู เมียกู ยังไม่พอ ตอนนี้ยังครูบาอาจารย์ของกูอีก..! ใครจะแตะครูบาอาจารย์กูไม่ได้ กูต้องโดดกัดไว้ก่อน ทั้ง ๆ ที่ครูบาอาจารย์ก็ไม่ได้รู้สึกรู้สากับสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเลย แล้วมึงจะเดือดร้อนไปทำไม ? ก็เพราะว่าเราไปแบกมานะเอาไว้มากนั่นเอง

    ความมานะนั้นมีทั้งสำคัญว่าตัวเราสูงส่งกว่าผู้อื่น ดีกว่าผู้อื่น มีทั้งแบกเอาไว้ว่าเราเสมอกับผู้อื่น มีทั้งแบกเอาไว้ในลักษณะว่าเราด้อยกว่าผู้อื่น ไม่ว่าจะน้อยกว่า จะเสมอกัน หรือว่าจะมากกว่า ล้วนแล้วแต่เป็นการแบกกิเลสไว้ทั้งสิ้น ยิ่งแบกไว้มากเท่าไร ก็ยิ่งถ่วงหนักให้เราถึงเป้าหมายช้าเท่านั้น

    ส่วนในเรื่องของทิฏฐินั้น ก็คือมิจฉาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิจัดว่าเป็นตัวปัญญา แต่มิจฉาทิฏฐิเป็นความมืดบอด สัมมาทิฏฐิอย่างเช่นว่าเห็นว่าร่างกายนี้เป็นทุกข์เป็นโทษ เห็นว่าเราควรที่จะเร่งรีบปฏิบัติ เพื่อให้พ้นจากกองทุกข์เหล่านี้ เป็นต้น แต่เรากลับแบกมิจฉาทิฏฐิเอาไว้โดยไม่รู้ตัว ก็คือมีความเห็นว่าสิ่งนั้นก็ของกู สิ่งนี้ก็ของกู ยิ่งแบกก็ยิ่งหนัก บางคนรู้สึกทุกข์มาก เครียดมาก แต่กลับไม่รู้ว่าตัวเองแบกไว้ ครูบาอาจารย์ท่านก็บอกว่าให้ปล่อยวาง ๆ แต่เรากลับวางไม่ได้

    ดังนั้น..บางทีสิ่งที่ครูบาอาจารย์บอกพวกเรานั้น เป็นการชี้ทางออกบอกทางถูกให้ แต่เรากลับไม่มีปัญญามองเห็นหนทางนั้นอย่างหนึ่ง กำลังไม่เพียงพอที่จะก้าวเดินไปในหนทางนั้นอีกอย่างหนึ่ง แล้วแทนที่จะรีบเร่งรัดให้ตนเองมีกำลังของศีล ของสมาธิ ของปัญญามากขึ้น เพื่อที่จะได้มองเห็นหนทาง หรือว่าจะได้มีกำลังก้าวเดินให้ผ่านพ้นไป เรากลับเอาเวลาเหล่านั้นไปนั่งเอากิเลสชนกับชาวบ้าน..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    18,892
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,476
    ค่าพลัง:
    +26,306
    ถ้าลักษณะนั้น บุคคลที่ท่านก้าวข้ามจุดนั้นไปแล้ว ก็ได้แต่มองด้วยความสลดสังเวช ก็คือสงสารแต่ไม่รู้จะช่วยอย่างไร เพราะว่าบอกวิธีการไปหมดแล้วแต่ไม่เคยเอาไปใช้ ส่วนสิ่งที่ไม่ดีที่ให้ลดให้ละกลับแบกเพิ่มขึ้นทุกวัน แบกไว้แล้วยังไม่พอ ยังไปชวนคนอื่นมาร่วมแบกด้วย..!

    ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่า ไม่ว่าเราจะเข้าไปดูเพื่อหาข้อมูลก็ดี หรือว่าจะเข้าไปเพื่อทะเลาะเบาะแว้งกับคนอื่นก็ตาม ก็ล้วนแต่ไปเพิ่มยอดวิวให้เขาทั้งนั้น แต่ก็ยังโง่พอที่จะไปทำอีก ถ้าอย่างนี้ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะทำอย่างไร

    แต่ในสมัยที่เรียนวิชาทหารอยู่ ครูบาอาจารย์เขาสอนเกี่ยวกับการบริหารบุคคลเอาไว้ว่า พวกที่ฉลาดแต่ขี้เกียจให้อยู่ในส่วนเสนาธิการ ปล่อยให้วางแผนไป แล้วให้พวกที่ฉลาดและขยันไปทำตามแผนนั้น พวกที่โง่แล้วขี้เกียจ ส่งไปอยู่กับพวกที่ฉลาดแล้วขยัน เขาจะลากถูลู่ถูกังไปได้เอง ส่วนพวกที่โง่แล้วขยันให้ยิงทิ้งให้หมด..! เพราะว่ามีแต่จะสร้างความเสียหายให้กับหน่วยงาน

    ซึ่งคำว่าสร้างความเสียหาย กระผม/อาตมภาพเอามาพูดเสียเพราะ ครูฝึกท่านบอกว่า "มีแต่จะสร้างความฉิบหายให้กับหน่วยงาน" ก็เหมือนอย่างกับวันนี้ที่พวกเราส่วนหนึ่งโง่แล้วก็ขยัน เข้าไปทะเลาะกับชาวบ้านเขา ประโยชน์อะไรก็ไม่ได้ เพราะถ้าคนที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ เขาก็ย่อมยืนยันในทิฏฐิ คือความเห็นของเขาว่าถูกต้อง ส่วนบุคคลที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ก็ย่อมไม่เสียเวลาไปทะเลาะกับใคร นอกจากรักษาใจตัวเอง

    กลายเป็นว่าเราเองโง่พอที่จะไปทะเลาะกับบุคคลที่มีความเห็นตรงกันข้าม แล้วจะไปหวังอะไรให้เขามาเห็นด้านเดียวกับเรา พูดง่าย ๆ ว่าเหมือนกับ "ถ่มน้ำลายรดฟ้า" ก็มีแต่จะหล่นใส่หน้าตัวเอง..!

    ได้แต่หวังว่าคราวหน้าถ้ามีอะไรกระทบกระเทือนมาถึงกระผม/อาตมภาพ ก็จงอย่าได้เสือกโง่แล้วขยันไปทำหน้าที่แบบนั้นอีก ถ้าเป็นถึงครูบาอาจารย์แล้วยังต้องเสียเวลาให้พวกเรามาปกป้อง ก็อย่าไปเป็นมันเลย..!

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพฤหัสบดีที่ ๑๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...