เรื่องเด่น พลังสมาธิกับการบำบัดมะเร็ง/พระอาจารย์ ดร.สิงห์ทน นราสโภ

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 3 พฤศจิกายน 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,526
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +70,497
    พลังสมาธิกับการบำบัดมะเร็ง

    โดย : พระอาจารย์ ดร.สิงห์ทน นราสโภ

    [​IMG]
    ขอคาราวะเพื่อนเพื่อน สหธรรมมิตร ขอเจริญสุขท่านผู้สนใจใฝ่ธรรมะทุกท่าน ได้รับอาราธนาให้มาพูด “พลังสมาธิมหัศจรรย์ทางจิตฯ” ร่วมกับท่านนายแพทย์ชินโอสถ หัสบำเรอ รู้สึกดีใจมากที่ได้มีโอกาสมาในงานนี้ ซึ่งเป็นเรื่องของแพทย์ แต่มีพระมามีส่วนร่วมด้วย ทำให้ความหวัง ที่ว่าคนเรานั้นมีอาหาร 2 อย่างพร้อมกัน คือ
    อาหารกาย กับอาหารใจ เดี๋ยวนี้เรามัวแต่ให้อาหารกาย แล้วก็ลืมอาหารใจ บอกว่าให้สวดมนต์วันละนิดวันละหน่อยก็อ้างว่าไม่มีเวลา จะมีเวลาก็ต่อเมื่อนอนบนเตียงคนป่วย แต่แล้วก็สวดไม่ได้เสียแล้ว ไม่มีเสียงที่จะสวด เพราะว่าการสวดมนต์มันต้องออกเสียงนะ ก็ขอเฉลยปัญหาที่บางท่านไม่เข้าใจ มักจะถามว่าสวดมนต์ออกเสียงไหม เวลาเราไปทำงานกลับมา วันนี้เจ้านายสวดใหญ่เลยไปทำงาน เจ้านายสวดออกเสียงดังมาก ฉะนั้นอันนี้แหละ เรื่องการสวดมนต์ ซึ่งเรียกว่าเป็นการให้อาหารใจ พวกเราละเลยกันมาก ก็ขอกระตุ้นให้พวกเราทั้งหลายระลึกว่าเรานะมีทั้งกายและใจ ฝรั่งเขาเดี๋ยวนี้เขาสนในมากในเรื่องการสวดมนต์ อันเนื่องมาจากผลการวิจัยของสองกลุ่มด้วยกัน กลุ่มแรกก็คือกลุ่มของ Dr. Richard Gerber M.D. ที่ท่านเอาผลงานการวิจัยเรื่องการสวดมนต์ คือที่ใดมีการเจ็บป่วยด้วยโรคสารพัดหรือโรคระบาด เขาก็จัดกลุ่มไปสวดมนต์ ส่งพลังจิตไปยังที่มีการเจ็บป่วย ก็ปรากฏว่าได้ผล และที่ใดมีอาญากรรมสูง มีการทำร้าย ทำให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อน เขาก็ส่งกลุ่มไปสวดมนต์ ก็ปรากฏว่าได้ผลทำให้อาญากรรมหรือความรุนแรงลดลง แล้วกลุ่มของ Dr. Richard Gerber M.D นี้ก็เขียนหนังสือ มีชื่อว่า Vibrational Medicine และอีกกลุ่มหนึ่งเป็นกลุ่มของ Dr. Andrew Weil M.D. กลุ่มนี้ ก็สนใจในการที่จะช่วยให้มนุษย์เรามีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข ก็ทำการวิจัยสรุปว่าก็ได้ผลสรุปว่า ถ้าใครฝึกลมหายใจให้ยาว 1 นาที หายใจไม่เกิน 6 ครั้ง คือ หายใจเข้า-ออกนับหนึ่ง เข้า-ออกนับสอง เข้า-ออกนับสาม เข้า-ออกนับสี่ เข้า-ออกนับห้า เข้า-ออกนับหก ผลที่จะได้รับทันทีก็คือ
    1. จะไม่มีปัญหาในเรื่องปวดศีรษะหรือไมเกรน
    2. ไม่มีปัญหาในเรื่องความเครียด
    3. ไม่มีปัญหาเรื่องนอนไม่หลับ
    4. ไม่มีปัญหาในเรื่องระบบย่อย
    5. ไม่มีปัญหาในเรื่องระบบขับถ่าย
    หากต้องการจะเข้าสมาธิ หรือเข้าฌานก็สามารถเข้าสมาธิเข้าฌานได้ เมื่อเข้าสมาธิได้ไม่ต้องถึงขั้นสูงสุดก็สามารถที่จะให้ชีวิตมีความสุขก็คือ เมื่อคนเข้าสมาธิแล้วจะเกิดปีติ ตัวปีตินี้เองจะเป็นตัวช่วยกระตุ้นต่อมเอ็นโดไครน์ให้หลั่งสารเอ็นดอร์ฟีน อันนี้เป็นผลงานที่สองกลุ่มนี้ได้ร่วมกัน เป็นการสนับสนุนในเรื่องการทำสมาธิ การทำสมาธิมีสองแบบ แบบเงียบ กับแบบออกเสียง คือเสียงสวดมนต์ภาวนา ถ้าจะถามว่าสองกลุ่มสองวิธีการนี้ วิธีการไหนได้ผลดีกว่าในการจะรักษาโรค สวดมนต์ภาวนาได้ผลมากกว่า เพราะมีการวิจัยมาแล้ว เขาเอาน้ำไปทำให้แข็ง ให้เป็นเกิดให้ตกผลึกแล้วก็เอามาถ่ายรูป ถ่ายอันแรกไม่ได้ตั้งจิตอธิษฐาน หรือไม่แช่งไม่ด่า มันก็เป็นปกติ อันที่สอง สวดมนต์ให้ก็ปรากฏว่าเป็นภาพที่เกิดขึ้นมามีพลังอยู่ในตัวก็คือมีสีขาวกับสีม่วง ซึ่งเป็นสีที่มีพลัง อย่างถ้าใครเรียนในเรื่องพลังออร่า หรือพลังรังษี สีม่วงนี้สามารถรักษาโรคได้ทุกชนิดแม้แต่มะเร็งก็รักษาหายได้ แล้วสีขาวนี่เป็นสีแห่งอภิญญาสีแห่งอิทธิฤทธิ์ ฉะนั้นการสวดมนต์ทำให้เกิดสีม่วง สีขาว พร้อมกับลวดลายที่สวยงาม แล้วรองลงมาก็คือภาวนาเงียบ……สิ่งใดก็ตามที่เราคิด มันเริ่มที่จะทำให้จิตของเราได้รับผลร้าย ดังที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสในอาทิตตปริยายสูตรว่า ไฟคือราคะ ไฟคือโทสะ ไฟคือโมหะ มันมีความร้อนแรงและมีผลร้ายแรงมาก พระอาทิตย์ซึ่งถือว่าร้อนก็ยังไม่เท่าความร้อนของไฟราคะ โทสะ โมหะ ไฟพระอาทิตย์เผาแล้วยังมีโอกาสไปเกิดได้ทันที แต่ไฟคือ ราคะ โทสะ โมหะ เผาแล้วไม่มีโอกาสได้เกิดเป็นร้อยเป็นพันหรืออาจเป็นหมื่นปี และที่เข้าสมาธิไม่ได้เพราะนิวรณ์ คือ จิตไม่ว่าง ไม่ว่างจากนิวรณ์ คือ “กามฉันทพยาบาทตินมิตตังอุจวิอิจา” ถ้าเป็นภาษาไทย คือ เรื่องความรัก ความชัง ยินดียินร้าย ความง่วงซึมสลดหดหู่ใจ ท้อแท้ใจ ความฟุ้งซ่าน ความลังเลสงสัย อันนี้แหละจิตไม่ว่าง ถ้าใครไม่ว่าจะทำอะไร ทำด้วยจิตไม่ว่างก็จะไม่มีผลสำเร็จ มิหนำซ้ำทำให้เกิดผลเสียหายด้วย อย่างที่ฝรั่งท่านหนึ่งได้สอนไว้ ใคร่ที่จะนำมาอ้าง คือ Dr. Joseph Murphy D.R.S., PH.D, LL.D ที่ท่านเขียนหนังสือว่า “The Power of Your Subconscious Mind” หนังสือเล่มนี้ก็แปลเป็นภาษาไทยแล้วว่า การที่เราจะสำเร็จ ไม่ว่าเรื่องอะไร แม้แต่เรื่องการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ถ้าเราคิดแบบ Positive หายและทำอะไรก็สำเร็จ แต่ถ้าตรงกันข้าม ถ้าเราคิดแบบ Negative คือคิดแบบคนมีนิวรณ์นั่นเอง ถ้าจะว่าไปก็จะไม่สำเร็จและโรคภัยไข้เจ็บก็กำเริบ พอดีได้รับอาราธนาไปบรรยายที่โรงพยาบาลจุฬาฯ ท่านที่เป็นมะเร็งและดูแลเรื่องของมะเร็ง วันนั้นคุณหมออารีย์ท่านให้หลักการของท่านที่เรียกว่า 7 อ. ว่าการที่จะเข้าสมาธิ เข้าฌาน หรือการที่จะช่วยให้สุขภาพพลานามัยดี ต้องปฏิบัติตามนิสัย 4 กับการสวดมนต์ แต่มันก็ไม่ค่อยทันสมัย เมื่อคุณหมออารีย์ให้ 7 อ. ก็เลยคิดขึ้นมา เอ๊ะ…ที่เราสอน มี 9 อ. จะขอนำเสนอในที่นี้เพื่อเป็นพื้นฐานในการที่จะฝึกจิตให้เข้าสมาธิได้อ.ที่ 1 ต้องมีความอดทน อดกลั้น มนุษย์ของเราไม่มีสัญชาตญาณ ถ้าเอามนุษย์ไปเดิน 4 ขา เหมือนสุนัข ก็จะเดิน 4 ขา เหมือนสุนัข เห่าเหมือนสุนัข ถ้าเอามนุษย์ไปอยู่กับลิงก็จะปีนต้นไม้เก่งเหมือนลิง และพูดได้แต่เสียง คร่อก…คร่อก… มนุษย์จะสำเร็จทุกวิชาการที่ตัวต้องการต้องมีการฝึก ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ทันโตเสถโถมนุษย์เสสุ”จะเป็นมนุษย์ที่ดี มนุษย์ที่แท้จริงก็ขึ้นอยู่กับการฝึกนี่เอง และโลโก้ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีว่า “อัตตานัง ทมยันติปัณฑิตา” จะเป็นบัณฑิตที่แท้จริงก็ขึ้นอยู่กับการฝึก ฉะนั้นการที่เราจะให้มีสุขภาพพลานามัยดี จะสำเร็จไม่ว่าเรื่องอะไร ต้องขึ้นอยู่กับการฝึก และอันนี้เองเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสฝากไว้ว่า “ขันตีปรมัง ตโปตีติขัง” ว่าเราต้องมีความอดทนอดกลั้นในการฝึกตัวเอง ฝึกอะไรอ.ที่ 2 เรื่องอาหาร ท่านที่เจ็บป่วยแล้วอย่าตามใจลิ้น อย่าตามใจปาก อาหารที่เอร็ดอร่อย อันนั้นแหละมีสารปรุงแต่งให้เกิดพิษภัยอันตรายต่อท่าน อาหารที่จะมีประโยชน์ ก็คืออาหารที่เป็นธรรมชาติ ที่ไม่มีพิษตกค้างหรือไม่มีภัยอันตรายอะไร อันนี้ท่านทั้งหลายคงรู้ดี จะไม่ขอพูดอะไรมาก



    อ.ที่ 3 คือ อากาศบริสุทธิ์ คำว่าอากาศบริสุทธิ์นี้จำเป็นมาก เพราะกระบวนการที่จะแปรสภาพอาหารเป็นพลังงาน เราต้องการออกซิเจนเข้าไปเพื่อช่วยกระบวนการสันดาปให้สมบูรณ์ ถ้าได้อากาศที่ไม่บริสุทธิ์ การแปรสภาพอาหารเป็นพลังงานมันก็ไม่สมบูรณ์ อันนี้เองที่ทำให้สุขภาพไม่ค่อยดี และโดยเฉพาะคนที่เจ็บป่วย ถ้าไม่เข้าใจในเรื่องรับอากาศที่ดี ก็มักจะอยู่แต่ในห้องแอร์ และคนที่ไปเยี่ยมก็เอาสารพัดโรคเข้าไป และภูมิคุ้มกันไม่ดีแล้ว มันก็แย่ อันนี้ก็สอนกันมามาก ไม่ต้องย้ำอะไรมาก

    อ.ที่ 4 ออกกำลัง อาตมาใช้คำว่า “ออกกำลังเพื่อเอาพลัง” อันนี้เป็นที่สับสนและปฏิบัติกันผิดๆ ออกกำลังมาจากภาษาอังกฤษว่า เอ็กเซอร์ไซด์ อาตมาถามฝรั่งที่เขาใช้ภาษาอังกฤษ เอ็กเซอร์ไซด์แปลว่าอะไร เขาตอบว่า เอ็กเซอร์ไซด์ก็คือเอ็กเซอร์ไซด์ ถ้าไปดูในภาษาอังกฤษแปลว่า การทำลายพลังส่วนเกิน เพราะว่าชาวตะวันตกเขาทานอาหารครบ 5 หมู่ มี วิตามิน มีเกลือแร่ มีอาหารเสริม มียาบำรุง ถ้าเขาไม่เอ็กเซอร์ไซด์ ไม่ยกของหนัก ไม่วิ่งเร็ว เขาจะอ้วน ฉะนั้นจะต้องเอ็กเซอร์ไซด์เพื่อทำลายพลังส่วนเกิน จากที่ทานนั้นมันสมบูรณ์เกินไป แต่คนป่วยมีอะไรเกินลองคิดดูให้ดี ถ้าเราไปบอกว่าให้เอ็กเซอร์ไซด์ โดยมากจะไปซื้อเครื่องออกกำลังกายแบบทางตะวันตก เดี๋ยวนี้หาง่ายมาก และดูรายการในทีวีก็มีแต่โฆษณาอุปกรณ์เพื่อลดความอ้วน และคนตะวันออกทานอาหารซึ่งไม่ค่อยพออยู่แล้ว ถ้าจะไปเอ็กเซอร์ไซด์แบบฝรั่ง แทนที่จะมีร่างกายสมบูรณ์ ร่างกายกลับจะทรุดโทรม ฉะนั้นอาตมาใช้คำว่า ออกกำลังเพื่อเอาพลัง ก่อนที่เราจะออกกำลัง เราจะต้องรู้ว่าที่มาของพลังมีอะไรบ้าง

    1. หญ้าดินในธรรมชาติ
    2. อากาศบริสุทธิ์
    3. แสงอาทิตย์
    4. ต้นไม้
    ฉะนั้นไม่ว่าผู้ป่วยหรือผู้ที่เป็นแบบชาวตะวันออกของเรา การที่จะออกกำลังกายจะต้องคำนึงถึงที่มาของพลังทั้ง 4 คือ เดินเหยียบหญ้า เหยียบดิน จะเป็นเดินจงกรม หรือจะเต้นแอโรบิก ทำกับหญ้ากับดิน มีแสงอาทิตย์ มีอากาศบริสุทธิ์ มีต้นไม้ แม้แต่รำมวยจีน เล่นโยคะ หรืออะไรก็ได้ที่เป็นการออกกำลังเพื่อเอาพลัง และการออกกำลังเพื่อเอาพลังมีข้อจำกัดว่าอย่าเครียด อย่างท่านจะเดินจงกรม เพราะว่าท่านสอนหลายจังหวะ เมื่อทำไม่ถูกจังหวะก็เครียดแล้ว จงกรมก็เป็นวิธีการออกกำลังกายเพื่อเอาพลังเหมือนกัน ถ้าท่านเครียดไม่ได้พลังและสูญเสียพลังอีก เป็นเหตุทำให้เกิดโรคได้ อันนี้เป็นเรื่องที่อาตมาขอฝากไว้วันนี้ว่า ออกกำลังแล้วก็มักจะเอาไปออกกำลังแบบทางตะวันตก และแม้แต่เล่นโยคะ โยคะนี่เป็นวิธีการออกกำลังกายที่เดี๋ยวนี้สับสนแล้ว หัวใจของโยคะคืออะไร 1. หายใจยาวๆ 2. เคลื่อนไหวช้าๆ 3. มีสติ กำหนดรู้ทุกอิริยาบถที่เราเป็นอยู่นั้น อันนี้เป็นหัวใจของโยคะ หายใจยาวๆ เคลื่อนไหวช้าๆ พร้อมกับมีสติ การออกกำลังกายบางอย่าง เช่น เล่นฟุตบอล เทนนิส ถ้าจะเอาแพ้เอาชนะกัน เครียด อันนี้ไม่ใช่การออกกำลังเพื่อเอาพลังเลย เป็นการออกกำลังแล้วก็ทำลายตัวเราเองด้วย ขอฝากไว้ด้วยอ.ที่ 5 อิริยาบถ 4 พระพุทธเจ้าตรัสไว้โดยตรงเลยว่า อิริยาบถปิดบังคือ ช่วยให้ไม่ทุกข์ ช่วยให้มีความสุข คนเรานั่งนานเกินไป นอนนานเกินไป ยืนนานเกินไป มันก็ทุกข์ ทนไม่ได้ก็คือทุกข์ ฉะนั้นถ้าใครรู้จักผ่อนคลายเปลี่ยนอิริยาบถก็จะไม่ทุกข์ คนเป็นโรคเดี๋ยวนี้ บางท่านงานที่ต้องยืนตลอดก็ทนยืน ไม่รู้จักเปลี่ยนอิริยาบถ คนที่เดินก็เดินอยู่นั่นแหละ คนที่นั่งก็นั่งอยู่นั่นแหละ อันนี้แหละจึงทำให้เกิดความทุกข์ เพราะไม่รู้จักเปลี่ยนอิริยาบถ ไม่รู้จักผ่อนคลายตัวเอง

    อ.ที่ 6 เอาพลังจากสุริยันต์จันทรา อันนี้สำคัญมาก เอาพลังจากสุริยันต์จันทรา หรือเอาพลังจากพระอาทิตย์ พระจันทร์ เอาอย่างไร

    1. โดยตรง คือ ตากแดด ตากแสงจันทร์ พอพูดถึงตากแดดก็เถียงขึ้นมาทันที มันก็เป็นมะเร็งผิวหนังละสิ ยังไม่ได้อธิบายอะไรเลย คิดไปก่อนแล้ว ตากแดดนั่นคือ ตั้งแต่เช้าที่พระอาทิตย์กำลังขึ้น และตอนเย็น แต่ถ้าจะตากแดดตอนกลางวันจะต้องนั่งใต้ต้นไม้ให้แสงแดดผ่านใบไม้เข้ามาจะได้รับพลังคลอโรฟิลล์ พลังสีเขียวอีกด้วย นี่รับพลังสุริยันต์จันทราโดยตรง
    2. โดยอ้อม คือ ทานผัก ผลไม้ ที่ไม่มีพิษตกค้าง อันนี้แหละคือพลังสุริยันต์จันทรา เพราะว่าผักผลไม้ต่างๆ ที่มันเจริญเติบโตขึ้นมา ก็เพราะพลังแสงอาทิตย์แสงจันทร์ แล้วรับอีกวิธีหนึ่งคือ เอาน้ำดื่มไปตากแสงอาทิตย์ 7 วัน ตากแสงจันทร์ 7 วัน แล้วเอามาผสมกันดื่ม อันนี้เรียกว่า น้ำพลังสุริยันต์จันทรา เขาสอนมาตั้งแต่สมัยพระเวทย์ หรืออายุรเวช ฉะนั้นถ้าใครทำได้จะได้รับผลคือ สีหน้าจะอ่อนกว่าวัยและไม่แก่ อายุจะยืนยาว อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ควรจะใส่ใจอ.ที่ 7 เอาพิษออก อันนี้เป็นที่รู้กัน ที่ใช้คำว่า “ดีท็อกซ์” แต่ของพระพุทธเจ้า พระองค์ใช้ยามหาวิกัต 4 อันนี้สำคัญ ยานี้ชะงัดนัก ถ้าใครเอาไปใช้แล้วได้ผล คืออะไร ยามหาวิกัต 4 ไปดูใน จัตตุกนิบาตอังคุทรนิกาย มี “มูด คูด เถ้า ดิน”

    “มูด” คือ ปัสสาวะ ดื่มน้ำปัสสาวะของตัวเอง มันก็ชัดเจนในเรื่อง นิสัย 4 พระพุทธเจ้าตรัสว่า ตอนเช้าเดินออกบิณฑบาต คือเหยียบหญ้าเหยียบดินด้วยเท้าเปล่า รับอากาศบริสุทธิ์ รับแสงอาทิตย์อ่อนๆ กลางวันอยู่ใต้ต้นไม้ ตอนเช้าพลังหยิน หยาง อยู่บนยอดหญ้า ตอนกลางวันหยิน หยาง อยู่บนต้นไม้ จีนกับอินเดียนี้สอนคล้ายกันในเรื่องพลังที่มาจากธรรมชาติ ยามหาวิกัต 4 “มูด” ก็คือดื่มน้ำปัสสาวะของตัวเอง ดื่มสดๆ ไม่ต้องไปดองอะไร ดื่มก่อนนอนกับตอนเช้า ดื่มก่อนนอนก็คือเพื่อไปหมักไปดองไว้กับอาหารที่เรารับประทานเข้าไป อาหารทุกชนิดเป็นสมุนไพรโดยธรรมชาติทั้งนั้น และดื่มตอนเช้าอีก เขาเรียกว่า หมักดองสมบูรณ์ แล้วดื่มครั้งละประมาณไม่น้อยกว่า 100 cc ได้ผล ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็มีข้อมูลข่าวสารทางนี้ ถ้าใครอยากรู้อ่านดูที่เว็บไซต์ Urine therapy มีข้อมูลมากกว่าพันหน้า ที่เขามีการประชุมระดับโลกถึง 3 ครั้ง ครั้งแรกประชุมที่อินเดีย ครั้งที่ 2 ที่เยอรมัน ครั้งที่ 3 ที่บราซิล
    “คูด” คือ อุจจาระ คนที่ได้รับพิษไป รู้ว่าได้ยาพิษหรือสิ่งเป็นพิษเข้าไปทางปาก ลองเอาอุจจาระหยอดที่ปาก คุณทานอุจจาระเข้าไปจะรู้สึกอย่างไร รู้สึก อาเจียนออกมาหมด และโรคอย่างหนึ่ง เรียกว่าโรคที่ออกทั้งทางปากและทางทวาร ถ้าใครเป็นอย่างนี้จะหมดกำลังและก็อาจจะถึงแก่ชีวิตทันที ก็ใช้นี่…คนไปอุจจาระที่ไหนก็จะมีแมลงปีกแข็งไปกิน และมันมีขุยขึ้นมา เอาขุยนั้นนะมาห่อผ้าขาว แกว่งในน้ำแล้วให้ดื่ม มีกำลังขึ้นมาฉับพลัน หายทันทีเลย
    “เถ้า” ก็คือขี้เถ้า ใครรับกรดเข้าไป เนื่องจากยาพิษนี่เป็นกรด ก็เอาขี้เถ้า ไปละลายน้ำดื่มเข้าไป ขี้เถ้านั้นเป็นด่างทำให้เกิดด่าง
    “ดิน” ก็คือดินที่สัตว์นานาชนิดกินกัน อันนี้พระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่า ยามหาวิกัต 4 เป็นวิธีการสลายพิษและเพิ่มกำลังแก่คนป่วยด้วยอ.ที่ 8 อบรมกาย อบรมจิต อันนี้เอาจริงเอาจังแล้ว อบรมกายคือ ฝึกลมหายใจให้ยาว วิธีการฝึกลมหายใจให้ยาวนั้นมีอยู่ 6 วิธีด้วยกัน ที่จริงอาตมาเขียนในหนังสือที่มีชื่อว่า “พระพุทธเจ้าตรัสอย่างไรที่ช่วยให้ชีวิตมีความสุข” และวิธีฝึกทั้ง 6 นี้ เป็นวิธีที่จะช่วยให้จิตมีสมาธิหรือเข้าสมาธิ เป็นวิธีการที่แพทย์แผนปัจจุบัน คือ ดร.แอนดรู วาย ก็ยอมรับว่าเป็นความจริงดังที่กล่าวเมื่อกี้

    (1) ฝึกเอาวิธีของ ดร.แอนดรู วาย เป็นอันดับแรก ฝึกแบบ ดร.แอนดรู วาย คือ “หายใจเข้า หายใจออก…นับหนึ่ง” “เข้า-ออก…นับสอง” “เข้า-ออก…นับสาม” “เข้า-ออก…นับสี่” “เข้า-ออก…นับห้า” “เข้า-ออก…นับหก” อย่าให้เกิน 1 นาที ท่านจะเสริมวิธีนี้ด้วยการร้องเพลงก็ได้ จะทำอย่างไรก็ได้แล้วก็มาตรวจสอบดูว่าได้แล้วหรือยัง 1 นาที อย่าให้เกิน 6 ครั้ง
    (2) วิธีที่ 2 ใช้คำว่า “โอม” ใช้มาแต่โบราณ ทางพราหมณ์เขาใช้เป็นการน้อมรำลึกถึง “ตรีมูรติ” คือ พระเจ้า 3 พระองค์ คือ พระพรหมผู้สร้าง พระวิษณุผู้รักษา พระศิวะผู้ทำลาย ใช้คำว่า “โอม” เป็นตัวนำ ไม่ว่าคาถาหรือสวดมนต์อะไร แต่พุทธเรา “โอม” เป็นสัญลักษณ์ทางพระรัตนไตร มาจากคำว่า “อุ อะ มะ”
    “อุ” ก็คือ อุตมะธรรม คือทางธรรม
    “อะ” คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธะ
    “มะ” คือ มหาสังฆะ
    หายใจให้ลึกๆ ให้ท้องพองเต็มที่ หรือหายใจทั่วท้อง คนเราที่มีปัญหาสุขภาพไม่ดี คือ หายใจไม่ทั่วท้อง หายใจให้ท้องพองเต็มที่แล้วก็เปล่งเสียง โอม………… เสียงสูงแล้วก็ต่ำลงต่ำลง ทำให้ได้ 7 เสียง ที่ว่าคีย์โน้ตของเพลงมี 7 เสียง เพลงมีไว้เพื่ออะไร เพื่อให้จิตใจเบิกบานแจ่มใส ทำเสียงสูงแล้วก็ต่ำลงต่ำลง จนกระทั่งเสียงต่ำที่กังวาน จะเกิดพลัง โรคภัยไข้เจ็บก็หาย
    (3) แล้ววิธีต่อไปก็เรียกว่า วิธีของหลวงปู่โต๊ะ ว่าบทอิติปิโสให้ได้ 9 จบ ในชั่วอึดใจหนึ่ง ถ้าใครอยากจะเข้าสมาธิ เข้าฌานอย่างหลวงปู่โต๊ะ และก็มีอภินิหาร มีอภิญญาด้วย การที่สวดอิติปิโสให้ได้ 9 จบ ในชั่วอึดใจ ก็ต้องฝึกให้เร็วให้เป็นพลังไวเบรชั่นคงที่ ดร.ริชาร์ด เกอร์เบอร์ กล่าว ให้เสียงเกิดขึ้น 7 เสียงเป็นอย่างน้อย ไม่ยากเลย
    (4) ต่อไปเป็นวิธีของหลวงปู่ละมัย เรียกว่าวิธีดำน้ำทำตะกรุด จะมีรูปแบบของตะกรุด เอแผ่นโลหะให้ แล้วก็แนะว่าต้องเขียน พอจรดเหล็กจารดู ลงแล้วให้เขียนให้จบแล้วเอามาให้อาจารย์ดู อันนี้ก็ต้องใช้ลมหายใจยาวนั่นเอง เมื่อเขียนสำเร็จก็เข้าฌานได้ สำเร็จสมาธิได้พอดี อันนี้เป็นวิธีฝึกของคนโบราณ หลวงปู่ละมัยอายุ 116 ปี อยู่ที่บ้านโตก เพชรบูรณ์ ถ้าไปดูเหมือนอายุ 50 ปี แข็งแรง อันนี้เป็นวิธีการเข้าสู่สมาธิและฝึกให้มีสุขภาพดี โดยวิธีวิชาที่เรียกว่า “ดำน้ำทำตะกรุด”
    (5) วิธีต่อไปวิธีที่เรียกว่า “ปราณยาม” เป็นวิธีที่ 5 ปราณยามก็คือ หายใจ 4 จังหวะ หายใจเข้า อดกลั้นลมหายใจ หายใจออก ปล่อยให้ว่าง สมมุติว่าหายใจเข้าได้ 5 อดกลั้นต้องได้ 10 ออก 5 ปล่อยวาง 5 มีวิธีการอย่างนี้ต้องสร้างมิติว่า หายใจเข้ารับพลัง เป็นควันสีขาวสดใสเข้าไป อดกลั้นลมหายใจให้พลังกระจายเพื่อให้เลือดลมเดินสะดวก หายใจขับสิ่งที่เป็นพิษออกไป พอถึงขั้นที่ 4 “ดีใจหนอ…หายใจเข้ารับพลัง” “ดีใจหนอ…อดกลั้นลมหายใจช่วยให้เลือดลมเดินสะดวก” “ดีใจหนอ…หายใจออกขับพิษออกไป” จังหวะที่ 4 เป็นจังหวะที่สร้างปิติ ทบทวนให้รู้คุณค่าของ ลมหายใจนั่นเอง
    (6) วิธีที่ 6 คือการสวดมนต์ สวดมนต์นี้เป็นวิธีฝึกลมหายใจยาวโดยไม่รู้ตัว ถ้าเราเกิดปิติแล้ว ทีแรกก็อาจสวดตามวรรคตอนที่ท่านกำหนดไว้ แต่ถ้าสวดเอง สวดไปๆๆ แล้วมันจะลื่นไหลไปเอง ลมหายใจจะยาว อันนี้เองเรียกว่าเป็นวิธีการฝึกสมาธิหรือเข้าสมาธิ โดยที่ใช้วิธีการฝึกลมหายใจให้ยาว นี่เรียกว่า “อบรมกาย” ซึ่งได้รับการวิจัยจากแพทย์แผนปัจจุบัน และหลวงปู่ หลวงพ่อก็วิจัยแล้ว สอนมาแต่โบร่ำโบราณ แล้วทำไมเล่าไม่เอาตัวอย่าง และตัวอย่างผู้ฝึก 2 ระบบนี้ ระบบฝึกลมหายใจยาวที่เรียกว่าแบบเงียบ อย่างหลวงพ่อพุทธทาสฯ เน้นอานาปานสติ 16 ขั้นตอน ดูชีวิตของหลวงพ่อพุทธทาสฯ มีความสุขตลอดชีวิต จะตายก็รู้วันตาย และสายสวดมนต์ก็คือ สายของครูบาศรีวิชัย ผู้ที่เป็นแบบอย่างครั้งสุดท้ายก็คือ ครูบาพรหมจักร วัดพระพุทธบาทตากผ้า ล้วนแต่มีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขตลอดชีวิต อันนี้เป็นตัวอย่างของการที่จะช่วยให้ชีวิตมีความสุข และเข้าฌานเข้าสมาธิได้ และพระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า “ธรรมจารี สุขัง เสติ ผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมย่อมมีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุข” อันนี้เอง จะสายสวดมนต์ จะสายภาวนาเงียบแบบอานาปานสติแบบ 16 ขั้นตอน ซึ่งมีที่มาในพระไตรปิฎก อานาปานสติ 16 ขั้นตอน มาจาก “มหาสติปัฏฐานสูตร” “ฑิวิมานทสูตร” “อานาปานสติสูตร” สายสวดมนต์มาจาก “ปัญจกานิบาตร อังกุตรนิกาย” มีพระสูตรที่ชื่อว่า “วิมุติสูตร” สวดมนต์ช่วยให้บรรลุถึงพระอรหันต์ มีที่อ้างด้วย มีบุคคลเป็นตัวอย่างแล้ว ท่านไม่ลองดูหรือ และตรงกันข้ามพระพุทธเจ้าตรัสเตือนไว้ว่า “จิตเต สังฆริเถ ทุกขติปาติกังขา” คนที่เจ็บป่วยนั้นจิตเศร้าหมองหรือผ่องใส จิตย่อมเศร้าหมองแน่แล้วไปไหน “ทุกขจิต จิตเตอสังฆเถ สุขคติปาติกังขา” ถ้าจิตไม่เศร้าหมองไปสู่สุขคติ อันนี้ก็ขอฝากไว้ แล้วก็คำว่าอบรมจิตคืออะไร ยิ้มเสมอ ไม่เครียด อันนี้ต้องฝึกอย่างที่คุณหมออารีย์ท่านเล่าว่า ท่านเอาชนะโรคนั้น ท่านได้บทเรียนจากคนบ้า ว่าคนบ้ามีโรคสารพัดในตัว ถ้าเจาะเลือดไปตรวจพิสูจน์ แต่ทำไมโรคต่างๆ ไม่ทำร้ายคนบ้า เพราะคนบ้ายิ้มเสมอ คนบ้าไม่เครียดคุณหมอเล่าว่าท่านเป็นมะเร็ง อยู่ได้ไม่เกิน 3 เดือน แล้วท่านก็มาฝึกตัวเองโดยใช่หลัก 7 อ. ของท่านและก็เอาชนะมะเร็งได้ ที่สำคัญที่สุดคือ Mood กับ Food คือ เมื่อเราไม่ให้อาหารแก่มะเร็ง แล้วก็ไม่เครียด เอาคนบ้าเป็นตัวอย่าง ในที่สุดท่านเอาชนะมะเร็งได้ อันนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจ แล้วอบรมจิตที่ว่า “ยิ้มเสมอ ไม่เครียด รู้จักให้อภัย ปลง ปล่อยวาง”อ.ที่ 9 คือ อิทธิปาฏิหาริย์ เรื่องอิทธิปาฏิหาริย์เป็นไปได้จริงๆ อาตมาเล่าย้ำเสมอ คุณยายทองเจือเป็นมะเร็งที่กระเพาะอาหาร ถูกตัดกระเพาะทิ้ง ที่ไหนได้พอแผลหาย มะเร็งไปก่อตัวที่อื่น ขึ้นถึงสมอง เจ็บปวดทุกข์ทรมาน จึงเข้าผ่าตัดครั้งที่ 2 หมอชุดเดิมก็ทำการผ่าตัด พอเปิดดู ก็ปรากฏว่ามะเร็งมันลามไปทั่วแล้ว ทำอะไรไม่ได้แล้ว ก็ปิดแผล คนไข้อยู่ไม่เกิน 7 วันก็ตายแล้ว คุณยายตื่นมาได้ยินหมด แทนที่จะตกใจ เสียใจ กลับดีใจ ตายเดี๋ยวนี้ยิ่งดี จะได้พ้นทุกข์เสียที และดีใจที่ยังมีเวลาเหลืออีกตั้ง 7 วัน จะได้สวดมนต์ภาวนาจะได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดี ไม่ใช่เป็นนักสวดมนต์อะไรหรอก สวดได้แต่ นะโมตัสสะ ภควโต อรหโต สัมมา สัมพุทธ ธัสสะ… พุทธัง ธรรมมัง สังฆัง สรณังคัจฉามิ… สวดเวียนไปเวียนมาจนกระทั่งแผลหายก็ยังไม่ตาย อยู่มาอีกหลายเดือน บ่นกับลูกๆ ว่า “หมอบอกกูจะตายไม่เห็นจะตายซะที” ลูกก็เลยเอาไปตรวจเลือด ผลเลือดเป็นปกติ อาไป Scan ปรากฏว่ามะเร็งฝ่อตายหมด วันที่ผ่าตัดครั้งที่ 2 อายุ 46 เดี๋ยวนี้อายุ 90 ปี ยังอยู่ที่ชิคาโก อยู่แบบคน ที่มีสมรรถภาพ ทำขนมชาววังเก่งที่สุด อันนี้เองที่เป็นตัวอย่าง มันมีจริงๆ อิทธิปาฏิหาริย์ อ.ที่ 9

    คำถาม :

    กราบนมัสการท่านพระอาจารย์สิงห์ทน ที่ท่านพระอาจารย์พูดถึงเรื่อง Positive Thinking กับ Negative Thinking อย่างเช่นว่า เจ็บป่วย ถ้าไปคิดว่ามันเจ็บ มันแย่ มันก็จะยิ่งเจ็บมากขึ้น พระพุทธเจ้าสอนให้เราเจริญมรณะสติ เกิดมานั้นให้คิดบ่อยๆ ไม่ทราบว่าจะขัดกันหรือเปล่า เพราะพระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า ในขณะที่เราเจ็บป่วยก็ให้ระลึกถึงว่าคนเราเกิดมาตายทุกคนพระอาจารย์สิงห์ทน :

    ไม่ขัดกันนะโยม ถ้าเรารู้ว่าคนเราเกิดมาตายทุกคน อันนี้จะยกตัวอย่างมาให้เห็นนะ ในบทนำของหนังสือ “Spontaneous Healing” ของ Dr. Andrew Weil M.D. มีคนไข้เป็นมะเร็ง หมอบอกว่า อยู่ไม่เกิน 7 วัน คุณกลับไปตายที่บ้านดีกว่า จะตายอย่างสงบ แต่การตายอย่างสงบนี่ คุณอย่าเครียด คนเราเกิดมาทุกคนต้องตายทุกคน ไม่วันใดก็วันหนึ่งก็คือตาย ถ้าคุณอยากตายอย่างสงบ คุณต้องทำจิตใจให้เบิกบานแจ่มใส ดูลมหายใจของคุณ คนไข้ก็เชื่อ กลับบ้านทำจิตให้ผ่องใส ไม่กังวลแล้วว่าจะตายภายใน 7 วัน ก็ดูลมหายใจ ดูไป ๆ 6 เดือน ผ่านไปก็ยังไม่ตาย สงสัย เอ๊ะ! หมอบอกว่าอยู่ไม่เกินอาทิตย์ ทำไมไม่ตาย ก็กลับไปหาหมอ หมอก็ตรวจผลเลือด ผลเลือดเป็นปกติ ไปเอ็กซเรย์ ไปสแกน ปรากฏว่ามะเร็งฝ่อตาย ฉะนั้นการที่เรายอมรับว่าคนเราเกิดมะเร็งต้องตายทุกคน อย่าไปเครียด ไปกังวลอะไร ทำแต่สิ่งที่ดีไว้ โดยเฉพาะที่ว่าโพชฌงค์ 7 เป็นบทสวดมนต์ เป็นธรรมโอสถ อันนี้ถ้าเราเข้าใจหน่อยจะเป็นประโยชน์มากๆ
    “โพชฌงค์ 7” คือ สติ สติตัวเดียวรักษาโรคได้ทุกโรค ก็คือ ยึดสติให้เป็นสติปัฏฐาน ฝึกจนกระทั่งเข้าฌานได้ เข้าฌานได้ก็จะเป็นปีติที่เป็นตัวกระตุ้นต่อมไร้ท่อไปให้หลั่งสารเอ็นโดฟีนนั่นเอง อย่างคุณยายทองเจือเหมือนกัน ดีใจเหลือเกินที่รู้ว่าจะตาย ตายวันนี้ยิ่งดี อันนี้คือคนมีมรณะสติ รู้ว่าความตายมันเป็นธรรมดา แล้วก็มีปีติ ไอ้ตัวปีตินี่ว่า เอ๊ะ! ฉันดีใจเหลือเกินที่รู้ว่าตายภายใน 7 วัน ยังมีเวลาเหลือตั้ง 7 วัน จะได้สวดมนต์ภาวนาเพื่อจะได้ไปเกิดภพภูมิที่ดี ไม่สนใจในเรื่องความปวด ทุกข์ทรมาน ที่มีก็สวดมนต์อย่างเดียว แล้วในที่สุดแทนที่คุณยายทองเจือจะตาย มะเร็งตายเรียบหมด อันนี้ก็เป็นตัวอย่างให้เห็นชัดว่า ความเข้าใจในเรื่องชีวิตและความตายเป็นประโยชน์มาก และที่ พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ ไม่มีอะไรที่จะคัดค้านหรือขัดแย้งกันเลย ถ้าเราเข้าใจทุกหมวดหมู่ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้คำถาม :

    นมัสการพระอาจารย์ฯ ค่ะ จิตรา ภริวรณ์ เป็นพยาบาล ขณะที่ดูแลผู้ป่วยคนหนึ่งอายุมากแล้ว 70 ปีขึ้นไป เขาบ่นว่า “ดิฉันถือศีล 8 ทานอาหารเจ สามีก็เสียนานแล้ว ทำไมดิฉันต้องเป็นมะเร็งปากมดลูกด้วย เสียใจ” ดิฉันก็บอกเขาว่า “มะเร็งนั้นรักษาหาย อย่าเสียใจเลย รักษาให้ครบ มาให้ครบ” อยากจะเรียนถามพระอาจารย์ว่า สิ่งที่หญิงชราพูดขึ้นมา ไม่ทราบว่าเพราะอะไรเขาถึงเป็นมะเร็ง เพราะว่าเขาก็ปฏิบัติดี ทำดี มีชีวิตอย่างสงบ ทำไมต้องเป็นมะเร็งปากมดลูกด้วยพระอาจารย์สิงห์ทน :

    อย่างที่คุณหมออธิบายนะโยม มันเป็นสิ่งที่เขาเก็บไว้ เป็นเรื่องลึก ๆ ส่วนตัวเอง อันนี้มันจะก่อให้เกิดผลเสียเมื่อไหร่ก็ได้ สิ่งที่เราคิดก็คือสิ่งที่เราเก็บไว้ในจิตใต้สำนึก อันนี้สำคัญมาก อย่างเมื่อกี้ที่อาตมาได้พูด มีโปรเพสเซอร์ชาวญี่ปุ่นทำการวิจัยเรื่องจิตกับวิทยาศาสตร์ รูปนี้แสดงให้เห็นพลังสวดมนต์ ทำให้เกิดภาพสวยมาก รองลงมาพลังภาวนาเงียบ ก็มีภาพเหมือนกัน ไม่ชัดเจน ไม่สวย สีไม่มีพลัง แต่ภาพนี้ที่ไปแช่งไปด่าเขา ฉันจะฆ่าแกๆ มันก็เป็นภาพนี้ ภาพนี้มันอยู่ที่ตัวเรา ทันทีที่เราคิดอะไร มันประทับมันเก็บไว้ในจิตใต้สำนึกของเรา ก็ขอให้ท่านทั้งหลายได้นำไปคิดไปพิจารณาว่าจิตนี้สำคัญมาก ถ้าท่านเข้าใจอย่างนี้แล้วทำไมเล่าจะต้องไปโกรธเขา ต้องรู้ว่าโทษของความโกรธมันเป็นอย่างไร แล้วก็จะช่วยให้เรากลัวที่จะเป็นอย่างนั้น อันนี้ก็เป็นวิธีการที่จะช่วยในเรื่องนี้ได้ดี โดยเฉพาะเรื่องของการสวดมนต์ พอดีก็มีหนังสือสวดมนต์มาแจกด้วย ที่คุณหมอท่านอธิบายเมื่อกี้ สวดมนต์แผ่เมตตามีพลังมาก ทำให้เกิดปาฏิหาริย์ เกิดในสิ่งที่ไม่น่าจะเกิด มันเกิดขึ้นได้ และก็ขอสนับสนุนตามที่คุณหมอพูดทุกประการ ที่อาตมาที่เป็นข่าวเล่าลือกันว่า ทำไมอาจารย์ไปช่วยคนที่หมอบอกว่าตายแล้วให้ฟื้นขึ้นมาได้ แท้จริงไม่ใช่อาตมาช่วย อาตมาเพียงแต่ไปสวดมนต์แผ่เมตตาให้ แล้วพอดีก็มีบทสวดมนต์อยู่ท้ายหนังสือเล่มนี้ที่แจก
    สวดมนต์สอนเจ้ากรรมนายเวร คือ มีโรคที่ทางพระพุทธเจ้าได้ตรัสว่าสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคมี 5 ประการ 1.เกิดเพราะว่าฤดูกาลเปลี่ยนแปลง 2.เกิดเพราะกรรมพันธุ์ หรือพันธุกรรมที่รับสืบทอดมา 3.โรคเจ้ากรรมนายเวร อันนี้แพทย์แผนหลักยังไม่เข้าใจ หรือว่ายังไม่ยอมรับด้วยซ้ำไป อย่างที่เกิดอุบัติเหตุรุนแรงอย่างกรณีที่วอชิงตันดีซี ไปเล่นตะกร้อแล้วเกิดวูบ ล้มศีรษะฟาดคอนกรีต กะโหลกร้าว เลือดคั่งในสมอง เจาะเอากะโหลกไปแช่แข็งไว้ แล้วหมอที่นั่นบอกว่าไม่มีทางแล้ว คลื่นสมองดับแล้ว แต่ท่านอดีตท่านทูต คุณหญิงเบญจภาก็บอกว่า ยังไงก็ตามก็ขอเก็บร่างของลูกไว้เพื่อหวังปาฏิหาริย์ ก็ได้สวดมนต์ภาวนาด้วยตนเองบ้าง ใครก็ตามที่มีพลังก็ขอให้สวดช่วย ก็ปรากฏว่าลูกชายคนนี้ก็ฟื้นขึ้นมา เพราะเขานิมนต์อาตมาไปเมื่อวันที่ 18 เมษายน ล้มวันที่ 8 มีนาคม วันที่ 18 เมษายน ก็ยังอยู่ในสภาพยังไม่รู้สึกตัว ไปสวดมนต์ให้ 3 วัน ถึงได้ลืมตาขึ้น แล้วบทที่สวดก็คือ สวดเมตตา และบทสำคัญที่สุดก็คือบทอุเบกขาในอัปปมัญญา ที่คุณหมอได้แสดงให้ดู บทอุเบกขาเป็นการสอนเจ้ากรรมนายเวรว่า “คนเรามีกรรมเป็นของตัว มีกรรมเป็นทายาท มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ ทำกรรมใดไว้ จะเป็นกรรมดีกรรมชั่วก็ตาม ก็จะได้รับผลกรรมแห่งนั้น” และในหนังสือนี่อาตมาได้เพิ่ม “ทุกขโต ทุกขถานัง” ทำทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว “นหิเรเวณเวรา…” เวรย่อมระงับด้วยการจองเวรไม่มีที่ไหน เวรระงับด้วยการไม่จองเวรเท่านั้น อันนี้แหละเป็นบทสวดที่เสริม ที่คุณหมอแสดงเรียกว่าบทสวดสอนเจ้ากรรมนายเวร ทำให้คนที่ทางการแพทย์ว่าตายแน่
    อย่างกรณี นายบิ๊ก ดีทูบี เหมือนกัน ทางหมอแถลงว่า 0.01% แล้วก็นิมนต์อาตมาไปช่วยสวดมนต์ให้ก็ฟื้นขึ้นมา จากวันสุดท้ายที่ว่าไปช่วยเป็นประจำ คือตอนนั้นคอก็ปิดแล้ว อาหารก็กลืนเองได้ เสมหะเอาออกเองได้ แต่อาตมาบอกให้พ่อแม่ว่า คุณต้องสวดมนต์ ต้องเรียนรู้เรื่องพลังจิต มันมีจริงนะ แต่พ่อแม่บอกว่าคุณหมอบอกว่ายาดี ไม่ต้องสนใจเลย หลังจากนั้นไม่กี่วันปรากฏว่าอาหารที่ป้อนเข้าไปไม่กลืนแล้ว เกิดสำลัก เสมหะก็เอาออกไม่ได้ ต้องเจาะคอใหม่ ไม่นานฝีในสมองก็แตกอีก อันนี้ถ้าเราช่วยกันสวดมนต์ พลังเมตตานั้นมีจริงๆ ช่วยได้โดยไม่ต้องเสียเงินอะไร เมื่อพ่อแม่ไม่เข้าใจ ซึ่งผิดกับลูกท่านทูต คุณหญิงกับท่านทูตสวดมนต์เป็นประจำ มาอยู่ที่ข้างเตียง มาสวดมนต์ให้ การที่ทำอย่างนี้เรียกว่าเป็นการรับพลัง ยอมรับเรื่องพลังไวเบรชั่นมีจริง แล้วทำให้ลูกของท่านคนนี้สามารถเรียนหนังสือได้ตามเดิม กลับมาอยู่เมืองไทยแล้ว ซึ่งตรงกันข้ามกับอีกรายที่น่าจะดีกว่าด้วยซ้ำไป ไปทำวันแรกก็ฟื้นขึ้นมาเลย แล้วในที่สุดก็ยังน่าเป็นห่วง ในตอนท้ายหนังสือเล่มนี้ได้พูดถึงอานิสงส์ ว่าสวดมนต์เกิดปาฏิหาริย์อะไรเกิดขึ้น ขอฝากกับท่านทั้งหลายไว้ด้วยในเรื่องการสวดมนต์ โดยเฉพาะโรคที่เกิดจากเจ้ากรรมนายเวร จะตองใช้วิธีสวดมนต์เท่านั้น
    มีเรื่องเล่าเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนมาก ตอนนั้นอาตมาเป็นพระปลัดขวาสมเด็จพระสังฆราชของวัดโพธิ์ท่าเตียน ท่านมอบหมายให้สอนพระนวกะ พระนวกะในวัดสมเด็จพระสังฆราชล้วนเป็นผู้ที่มีการศึกษา โดยเฉพาะมีทั้งนายแพทย์ นักวิทยาศาสตร์ นายทหาร ข้าราชการชั้นสูง ได้รับสอนเรื่องพระธรรมวินัย แล้วก็มาย้ำในเรื่องศีลของพระ ว่าเราจะต้องมีการทบทวนศีลทุก 15 วัน สวดปาติโมกข์ต้องสวดให้จบ ศีล 227 ข้อ ต้องทบทวนให้จบ แต่มีข้อยกเว้นอยู่ 4 อย่างคือ 1.พระราชาเสด็จมาวัดให้เลิกสวด 2.ไฟไหม้วัดให้เลิกสวด 3.น้ำท่วมวัดให้เลิกสวด 4.ผีเข้าพระภิกษุให้เลิกสวด พอพูดถึงข้อที่ 4 ท่านที่เป็นนายแพทย์บอกว่าผีมีจริงที่ไหน พวกผมอยู่กับศพ ผ่าศพมาไม่รู้เท่าไหร่ไม่เคยมีผีมาปรากฏให้เห็นเลย อีกกลุ่มหนึ่งก็บอกว่ามีจริง เถียงกันไปกันมา พระนวกะรูปหนึ่งล้มตึงลงไป ล้มไปแบบไม่มีลมหายใจแล้ว ตัวเย็น นายแพทย์ทั้ง 6 ท่าน ได้ช่วยกันปฐมพยาบาล ช่วยอย่างไรก็ไม่ฟื้น ส่งไปคลินิกปากคลองตลาด หมอฉีดยาให้ 6 เข็มก็ไม่ฟื้น ส่งไปโรงพยาบาลจุฬาฯ แพทย์ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ ก็ช่วยจนในที่สุดก็บอกว่า เอาร่างกลับวัดเถอะ ช่วยไม่ได้ หลังจากนั้นอีก 3 วัน ก็เลยถามเพื่อนว่า พระวันนั้นที่ล้มหายหรือยัง บอกว่าเหมือนเดิม ก็นึกทบทวนว่าวันนั้น โต้กันว่าผีมีหรือไม่มี น่าจะเป็นเรื่องของผีหรือเปล่า นึกถึงเรื่องที่คนโบราณเขามีสิ่งที่ใช้กันในเรื่องนี้ ก็เลยรวมเอาสิ่งที่มีอยู่แล้วลองไปเยี่ยมท่าน พอไปเยี่ยมไปนั่งบนเตียงท่าน เอาของ 3 สิ่งที่คนโบราณเขาถือว่าเป็นเรื่องที่ทดสอบเรื่องผีเรื่องวิญญาณ เอาสิ่งนั้นซ่อนในจีวร ยังไม่กล้าแสดงออกมา เพราะเขายังปฏิเสธกัน ยังไม่ยอมรับ พอไปนั่งแล้วจะทำท่าคุยกับคนที่มาเฝ้าร่างของพระรูปนี้ พอญาติโยมสนใจในเรื่องที่พูด ก็เลยเอาสิ่งที่มีอยู่ มีไม้ไผ่ตัน พญาไม้ และสีผึ้งที่ครูบาอาจารย์ให้ไว้ พอจี้เท่านั้น พระรูปนี้ขยับตัวหนีจะตกเตียงเลย คือไม่เคยเคลื่อนไหวมา 3 วัน ก็เลยนึกถึงว่าน่าจะ เข้าท่าแล้ว คงจะเป็นเหมือนกับที่คนโบราณเขาเชื่อว่าโรคเจ้ากรรมนายเวรมันมีจริงๆ พอจี้เสร็จก็มาจี้ตรงหน้าผาก เพราะตอนนี้แสดงให้เห็นได้แล้ว มีแพทย์อยู่ที่นั่นด้วย ปรากฏว่าเขาหายใจแบบนอนหลับแต่ยังไม่ลุก เสร็จแล้วอาตมาว่าจะกลับไปที่กุฏิ พอเดินออกมาท่านก็ลุกดขึ้นสั่งเลย “รีบเปิดประตู เดี๋ยวเจ้าปู่ทักษิณจะกลับ” พอสั่งเสร็จก็นอนเหมือนเดิม อาตมากลับไปที่กุฏิ เลยนั่งสวดมนต์แผ่เมตตาอยู่ที่นั่น ปรากฏว่าท่านลุกขึ้นมาอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นว่า ขณะที่โต้แย้งกันว่ามีผีหรือไม่มีนั้น ก็เห็นภาพเพื่อนที่ท่านยิงตาย วูบเดียวก็หมดความรู้สึก ท่านก็เล่าให้ฟังว่า ไปทานอาหารด้วยกัน แล้วก็ดื่มมากไปหน่อย พูดผิดหูทำให้ผิดใจกัน เพื่อนมีมีดชักมีมาแทง ท่านมีปืนชักปืนยิงเพื่อนตาย แล้วเพื่อนคนนั้นมาปรากฏให้เห็นวูบหนึ่ง แล้วท่านก็หมดความรู้สึกไป แล้วก็มารู้สึกตอนที่อาตมาเอาของไปจี้ และตอนที่ส่งเมตตามาให้ ฟื้นได้อย่างเต็มตัว แล้วก็เล่าเหตุการณ์ มิใช่ยุติเพียงเท่านั้น เจ้ากรรมนายเวรรายนี้ ยังไปอาละวาดที่บ้าน เด็กๆ ไม่เป็นอันนอน ร้องไห้กระจองงองแง ไม่รูว่าจะช่วยกันอย่างไร ก็มาหา “ท่านเจ้าคุณช่วยทางบ้านด้วย เดี๋ยวนี้ทางบ้านเดือดร้อนใหญ่” ก็เลยเอาสายสิญจน์ไปให้เด็ก ปรากฏว่าตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ไม่มีเหตุการณ์อะไรที่ทำให้เกิดความกังวลหรือเดือดร้อนต่อไป อันนี้เรียกว่าโรคเจ้ากรรมนายเวร แล้วท่านที่ไปเจออุบัติเหตุหรืออะไรรุนแรง จะตายก็ไม่ตาย จะอยู่ก็อยู่อย่างชนิดที่ทุกข์ทรมาน อันนี้เป็นโรคเจ้ากรรมนายเวร วิธีที่จะช่วยก็คือ ต้องสวดมนต์แผ่เมตตาอย่างที่คุณหมอได้ว่าไว้ สวดมากๆ มันเป็นไปได้เลย เจ้ากรรมนายเวรจะอ่อนใจ อันนี้เป็นเรื่องที่แพทย์แผนหลักยังไม่ค่อยเข้าใจในเรื่องทางนี้ ก็อาจจะถือว่ามันเป็นประสบการณ์ของท่าน ที่ท่านเรียนมาอย่างนั้น รู้มาอย่างนั้น ท่านก็ทำตามหลักการ แต่ว่ายังมีอีกโรคหนึ่ง คือ “โรคเจ้ากรรมนายเวร” ก็ขอฝากไว้ด้วยพิธีกร :

    ขอขอบพระคุณพระคุณเจ้ามากนะครับ คำว่าปาฏิหาริย์ เป็นศัพท์ที่เราใช่เรียกสิ่งที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ยังไม่ได้ หรือยังหาคำอธิบายไม่ได้ เพราะฉะนั้น สิ่งที่วิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้ก็มิได้หมายความว่ามันไม่มีจริง สิ่งที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ บางครั้งเมื่อเวลาผ่านไปก็ยังพบว่าบางเรื่องเป็นสิ่งที่ผิดก็มี เพราะฉะนั้นก็คงไม่มีอะไรที่จะตรวจสอบสิ่งเหล่านี้ได้ นอกจากใช้กาลามสูตรของพระพุทธองค์ คือ พยายามใช้วิจารณญาณ ความคิดของเราพิจารณาเรื่องต่างๆ เหล่านี้ และก็เรียนรู้ด้วยตนเองต่อไป แต่โดยรวมแล้ววันนี้เราได้เรียนรู้อะไรต่างๆ มากมายจาดช่วงนี้ โดยเฉพาะที่พระคุณเจ้าได้บอกให้เรามี “หลัก 9 อ.” ซึ่งโดยสรุปก็คือให้เราดูแลในเรื่ององค์รวม ไม่ใช่ดูเฉพาะเรื่องกายเพียงอย่างเดียว มี่เรื่องจิตและเรื่องอื่นอีกมากมาย ไล่ลงมาจนถึงการอบรมกายและจิตที่ดี ซึ่งอาจทำให้เกิดคำว่า “ปาฏิหาริย์” ซึ่งปาฏิหาริย์ที่แท้จริงก็คือสิ่งที่มีอยู่ในตัวเราทุกคน เพียงแต่เราวางท่าทีต่อโลกและชีวิต ปฏิบัติตัวได้ดีถูกต้อง ปาฏิหาริย์ก็อาจเกิดขึ้นกับตัวของเรา อีกข้อหนึ่งที่พระคุณเจ้าได้บอกไว้ก็คือว่า ในเรื่องของความคิดที่ทำให้เกิดสิ่งต่างๆ ขึ้นมาทำให้เกิดโรคนั้น ทำอย่างไรที่จะสามารถกำจัดความคิดเนื่องมาจากกิเลส เช่น โลภ โกรธ หลง ราคะ โทสะ โมหะ ต่างๆ เหล่านี้ ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ที่พระคุณเจ้าบอกว่าเราจะต้องหาทางกำจัดสิ่งเหล่านี้ให้ได้ ซึ่งก็สอดคล้องกับที่ท่านอาจารย์ชินโอสถ พูดถึงเรื่องโปรแกรมจิต โดยที่ความคิดต่างๆ ของเราก็อาจ ทำให้เกิดโรคขึ้นมาได้ ทำอย่างไรที่เราจะสามารถผ่านและยับยั้งมันได้ ซึ่งท่านก็แนะนำวิธีการโดยการทำสมาธิ วิปัสสนา ซึ่งก็มีหลายวิธี อาจใช้การสวดมนต์ออกเสียงก็เป็นการทำสมาธิอีกอย่างหนึ่ง หรือการดูลมหายใจก็เป็นสมาธิอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะสุดท้ายจะเข้มข้นมากขึ้น ถึงเรื่องการสวดมนต์ สวดมนต์นั้นมีตัวอย่างของการเกิดอะไรที่วิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้หลายๆ อย่างออกมา เป็นตัวอย่างที่ยกมาให้ท่านผู้ฟังได้พิจารณา วันนี้เราได้สาระมากมายที่เราจะนำไปประยุกต์ใช้เพื่อค้นหาความมหัศจรรย์ของพลังจิต

    สร้างเมื่อ 01 – มี.ค.- 48

    8%87%E0%B8%AB%E0%B9%8C%E0%B8%97%E0%B8%99-%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B9%82%E0%B8%A0-.jpg


    *************************


    ขอบคุณที่มา https://thaicam.dtam.moph.go.th/พลังสมาธิกับการบำบัดมะ/
     
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,526
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +70,497
    สมัยผมเรียนในมหาวิทยาลัย ท่านเป็นอาจารย์สอนศาสนาและปรัชญา ท่านเล่าให้ฟังว่า
    สมัยท่านหนุ่มๆนั้นร่างกายอ่อนแอ เมื่อท่านได้นำความรู้ทางพุทธศาสตร์ และการฝึกโยคะอินเดียะมาผสมผสานกัน
    ท่านก็แข็งแรงขึ้นมาก โรคภัยไข้เจ็บหาย ร่างกายเปลี่ยนเป็นคนละคน

    ตอนเรียนศานาและปรัชญากับท่าน ตอนนั้นท่านอายุมากแล้ว ใกล้60 แต่ท่านก็แข็งแรง ขับรถไปกลับผ่านเส้นทางถนนในดอยในเขาได้วันละประมาณ 200 กว่ากิโลต่อเที่ยว หรือ ไปกลับก็ประมาณ 400กว่ากิโลสบายๆ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...