เรื่องเด่น วิกฤตถ้ำเขานางนอน ทีมหมูป่าติดถ้ำ ครูบาบุญชุ่มช่วยได้ แต่ไม่พ้นถูกตั้งคำถาม ใช่หน้าที่ของพระหรือ ?

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย โพธิสัตว์, 10 กรกฎาคม 2018.

  1. โพธิสัตว์

    โพธิสัตว์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2016
    โพสต์:
    113
    กระทู้เรื่องเด่น:
    92
    ค่าพลัง:
    +734
    วิกฤตถ้ำเขานางนอน ตอน ๑
    ทีมหมูป่าติดถ้ำ
    ครูบาบุญชุ่มช่วยได้
    แต่ไม่พ้นถูกตั้งคำถาม ใช่หน้าที่ของพระหรือ ?
    --------------

    บรรจบ.png

    เปิดฉาก
    เรื่องเจ้าป่าเจ้าเขามาดังมากอีกครั้งในสังคมไทยพุทธบ้านเราก็ตอนที่นักฟุตบอลเยาวชนทีมหมูป่าไปติดอยู่ในถ้ำเขานางนอนนี่เอง ไม่นึกเลยว่า ทีมฟุตบอลท้องถิ่นทีมเล็ก ๆ จะมาดังระเบิดระดับโลกไปได้ชั่วไม่ทันข้ามสัปดาห์ แม่ช่วงนี้เป็นช่วงแข่งขันฟุตบอลโลก แต่ทีมฟุตบอลโลกตัวจริงหลายทีมก็ดังไม่เท่าทีมหมู่ป่าของไทย เพราะบางทีมมาแค่รอบแรกก็ต้องหิ้วรองเท้ากลับบ้าน แต่ข่าวทีมหมูป่าดังต่อเนื่อง มิหนำซ้ำกองเชียร์ของบอลโลกแต่ละทีมยังเทใจมาช่วยทีมหมู่ป่าเสียอีก เทใจให้ออกจากถ้ำได้

    “มูปะ ซูซู...” เราคงได้ยินเสียงเชียร์แปร่งๆนองนี้จากกองเชียร์บอลโลกหลายทีม

    ขณะที่ทั่วโลกให้กำลังใจ ไทยเราเองก็ให้กำลังใจกันด้วย แต่ไม่วายมีเรื่องเจ้าป่าเจ้าเขามาเกี่ยวข้อง เพราะคนในท้องถิ่นเชื่อกันว่า การติดอยู่ในถ้ำของพวกเขาไม่ใช่ธรรมดาแล้วจะต้องมีอิทธิฤทธิ์ของเจ้าป่าเจ้าเขามาเกี่ยวข้องแน่นอน

    20180703_004512.jpg

    เจ้าแม่เขานางนอน
    นี่คือชื่อเจ้าป่าเจ้าเขาที่ถูกเอ่ยถึง เพราะเหตุที่ภูเขานางนอนที่มีถ้ำนางนอนอยู่นั้น ยอดเขาที่ทอดยาวมีสัณฐานเหมือนรูปหญิงนอนหงายมีอวัยวะครบถ้วนทั้งศรีษะหน้าปากและทรวงอกที่มีถัน ๒ เต้าตั้งงอนงาม

    สัณฐานดังกล่าวทำให้เกิดนิทานพื้นบ้าน...หญิงสาวสูงศักดิ์ตามหาคนรักซึ่งเป็นชายหนุ่มคนเลี้ยงม้าแต่ก็คลาดกัน เป็นเหตุให้หญิงสาวสูงศักดิ์เสียใจแต่ก็รอคอยคนรักจนตัวเองตายลงและเล่ากันว่านางน่าจะเป็นต้นเรื่องของเจ้าแม่เขานางนอนที่กลายมาเป็นเจ้าป่าเจ้าเขาผู้ศักดิ์สิทธิ์และมีอิทธิฤทธิ์มากมายในเวลานี้

    เป็นเรื่องแปลก (ถ้าไม่หลอกกัน) จู่ๆก็มีเฟชบุคของหญิงไทยคนหนึ่งเผยแพร่มาจากต่างประเทศระบุว่า

    “...เธอฝันเห็นภูเขานางนอน เห็นผู้หญิงคนหนึ่งสูงใหญ่แต่งตัวดีทำนองเหมือนเจ้าหญิงโบราณยืนอยู่สีหน้าแววตาดุดันแสดงความโกรธร้องบอกว่า อยู่ที่นี่มา ๓๐๐ ปีแล้ว ในฝันท่านเหมือนกับบอกว่าได้กักตัวทีมหมูป่าไว้และไม่ต้องการเครื่องเซ่นสังเวย แต่ต้องการพบครูบาบุญชุ่มท่านเดียว ไม่ต้องการพบคนอื่น...”

    เธอโพสต์ความฝันนี้ทางเฟชบุคบอกว่าให้ช่วยกันแชร์ต่อด้วยเพื่อว่าจะเป็นประโยชน์แก่คณะทำงาน เธอยืนยันว่าไม่รู้จักใคร ไม่รู้แม้แต่ครูบาบุญชุ่มที่นางในฝันเอ่ยถึง

    ปรากฏว่าได้ผล เพราะวันรุ่งขึ้นเราก็ได้ทราบข่าวกันทางสี่อมวลชนว่า...ครูบาบุญชุ่มท่านจะไปที่ถ้ำเขานางนอนเพื่อทำพิธีช่วยทีมหมูป่า...ข่าวนี้ทำให้คนไทยได้เฮกัน เพราะหลักความจริงก็คือปุถุชนเรายามทุกข์ก็คงไม่มีปฏิเสธการช่วยเหลือจากใครหรอก รู้จักหรือไม่รู้จักรับไว้ก่อน ยิ่งไปติดอยู่ในถ้ำอย่างนั้น ผู้คนที่เอาใจช่วยก็อดคิดถึงอำนาจลี้ลับไม่ได้ซึ่งก็ใช่ว่าจะไม่จริงเอาเสียเลย
    ดังนั้น เมื่อผู้ที่มาช่วยเหลือคือครูบาบุญชุ่ม ซึ่งคือผู้ที่คนส่วนใหญ่มั่นใจว่ามีคุณสมบัติสามารถสื่อสารกับอำนาจลี้ลับได้ คนทั้งหลายก็รู้สึกเหมือนข้าวได้ฝนปลาได้น้ำ ไม่มีใครจะสนใจคำท้วงติงจากปัญญาชนอย่าง อ.สุจินต์ สังคมในใจว่าครูบาจะติดต่อกับหญิงในฝัน ซึ่งตอนนี้สังคมเริ่มเชื่อแล้วว่าเจ้าแม่มีตัวตนจริง และต้องการพบครูบาบุญชุ่มจริง

    654-750x420.jpg
    ครูบามาแล้ว
    วันรุ่งขึ้น สังคมสบายใจ ครูบาบุญชุ่มมาที่หน้าถ้ำนางนอนจริง ๆ ท่านมาสวดมนต์แผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศลให้เจ้าป่าเจ้าเขาจะได้เกิดเมตตาเปิดทางให้ทีมหมู่ป่ากลับออกมาได้ พิธีกรรมที่ท่านทำผสมผสานกันระหว่างความเชื่อในพระพุทธศาสนากับตามความเชื่อของท้องถิ่น หลังทำพิธีก็มีคำพูดจากท่านทำให้สังคมคลายความทุกข์ใจมากขึ้น ท่านบอกว่า

    “เด็กๆไม่เป็นอะไร ปลอดภัย สบายดี อีก ๒ วันก็ออกมาได้”

    จากคำพูดของครูบาแสดงว่า เด็กถูกกักตัวจริง และผู้ที่กักตัวเด็กไว้ก็มีจริง แล้วจะเป็นใครล่ะ ? ถ้าไม่ใช่นางในฝันของที่มีผู้หญิงคนหนึ่งโพสต์ทางเฟชบุคว่าฝันเห็น และจะเป็นใครไปอีกล่ะ ถ้าไม่ใช่คนที่รอพบครูบาบุญชุ่ม ?

    นี่แสดงว่า ครูบาบุญชุ่มได้พบกับนางแล้ว คุยกันแล้ว นางยอมแล้ว แล้วต่อมาอีก ๒ หรือ ๓ วันคณะค้นหาก็พบตัวทีมหมูป่าจริงอย่างที่ครูบาบุญชุ่มบอก เล่นเอาคนไชโยโห่ฮิ้วกันไปทั่วประเทศ ไม่เว้นแม้กระทั่งพระสงฆ์องค์เจ้าที่คอยสวดมนต์ให้กำลังใจ รวมทั้งพี่น้องต่างศาสนาที่เอาใจช่วย จึงขอขอบคุณแทนทีมหมูป่าและชาวพุทธที่เอาใจช่วย

    แต่ก็มีท่านที่มีปัญญาล้ำลึกหลายท่านท้วงติงแบบสวนกระแสดีใจของมหาชนที่ต่างชื่นชมครูบาท่าน บางท่านว่า คนที่ควรยกย่องคือทีมค้นหา...ซึ่งก็เท่ากับบอกว่า อย่าไปชื่นชมครูบาบุญชุ่มมากนัก ก็ไม่เป็นไร ถือว่าให้สติกัน ทว่าสำหรับบางท่านท้วงติงแรงเลยว่า “...ทำไม่ถูก ไม่ใช่หน้าที่ของพระ ไม่ตรงตามพระธรรมวินัย...ทำไมไม่นึกถึงวิบากกรรมของเด็ก...” คำพูดนี้แหละ สังคมก็เลยถามกลับว่า แล้วพระช่วยคนมันผิดตรงไหน ? ผมเองก็พลอยอยู่ไม่สุขจึงต้องเด้งเชือกออกจากมุมมาเต้นเหยงๆ อีกครั้ง ทั้งๆที่อยากหลบมุมเต็มที


    ทำไมครูบาต้องมา ?
    หลายคนบอกว่า เพราะท่านมีอดีตชาติที่สัมพันธ์กับ “นาง” ที่ถ้ำนางนอน ซึ่งบัดนี้เธอคือเจ้าป่าเจ้าเขาและรอพบท่านอยู่ และเลยทำให้หลายคนโยงไปว่า ท่านคืออดีตชายเลี้ยงม้าคนรักของนางเมื่อ ๓๐๐ ปีมาแล้ว ครูบาจะเป็นอย่างนั้นหรือไม่ ? ผมจนปัญญาจริง ระหว่างการค้นหา (๓ กรกฎาคม) ผมมีโอกาสพาคณะไปกราบท่านเจ้าคุณสายวิปัสสนา คือ พระภาวนารัตนญาน หรือครูบาอริยชาติ ที่วัดป่าแสงแก้ว จังหวัดเชียงราย ได้สนทนากับท่าน

    ตอนหนึ่งผมถามว่า “ครูบาได้ไปที่ถ้ำนางนอนบ้างหรือเปล่า ?” ความหมายของผมก็คือ ครูบาไม่ไปช่วยเด็กติดถ้ำบ้างหรือ ? ท่านตอบเป็นภาษาเหนือถอดเป็นภาษากลางได้ความว่า

    “ไปแล้ว ไปก่อนครูบาบุญชุ่ม แต่เขตนั้นเป็นเขตบารมีของครูบาบุญชุ่ม อาตมาเลยกลับ”

    เป็นไปได้ไหม ? คำพูดนี้ สะท้อนว่า ครูบาอริยชาติไปแล้วพบเจ้าป่าเจ้าเขาแล้ว เจรจาขอให้ปล่อยตัวเด็กแล้ว แต่เจ้าป่าเจ้าเขาไม่ยอม ซึ่งอาจจะไปตรงกับความฝันของผู้ที่โพสต์ผ่านมาทางเฟชบุคว่า

    “....นางในฝันไม่ต้องการเครื่องเซ่น ไม่ต้องการพบใคร นอกจากครูบาบุญชุ่ม...”

    ถ้าตรง ก็แสดงว่า ฝันที่ผ่านมาทางเฟชบุคเป็นจริงแล้ว และนี่น่าจะเป็นเหตุผลหลักที่ครูบาต้องมา

    Untitled-1.png

    หน้าที่ของพระ

    คือ การช่วยโลกให้พ้นทุกข์ได้รับสุข อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสบอกว่า “เธอทั้งหลายจงจาริกไปเพื่อประโยชน์แก่ชาวโลก” การช่วยสังคมของพระ หากไม่ทำด้วยบริสุทธิ์ใจ หวังลาภสักการะแอบแฝงผิด พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า “กุละทูสะกะ-ประทุษร้ายตระกูล” และตำหนิอย่างแรงเนื่องจากทำให้ชาวโลกสียหายเพราะเกิดเลื่อมใสแบบผิดทาง ทรงปรับโทษหนักถึงขั้นอาบัติขั้นสังฆาทิเสส ความผิดนี้ร้ายแรงรองลงมาจากปาราชิกซึ่งเป็นโทษหนักสุดเท่ากับประหารชีวิต จะพ้นผิดได้ด้วยการต้องอยู่ปริวาสกรรมประจานความผิดตัวเอง แต่สำหรับการกระทำของครูบาบุญชุ่มและของพระทั่วประเทศในกรณีนี้ดูแล้วมิได้เป็นเช่นนั้น ทุกคนเห็นตรงกันว่า ท่านช่วยด้วย”จิตมหากรุณา” คือ สงสารพวกเด็กๆ สงสารพ่อแม่ของเด็กๆ ซึ่งสังคมก็รับรู้กันทั่ว ถ้าอย่างนี้แล้วยังหาข้อผิดของท่านถึงขั้นต้องตำหนิติเตียนกันมากมายไม่เจอเลย จะมีก็แต่โทษเล็กน้อยๆที่อาจมีได้โดยคาดไม่ถึง เช่น การทำพิธีบูชาป่าเขา ซึ่งก็เป็นพิธีกรรมตามความเชื่อของคนในท้องถิ่นที่ท่านคุ้นเคยและอนุวัตรตาม ก็ไม่ใช่ว่าจะขอถึงเจ้าป่าเจ้าเขาเป็นสรณะ แต่เพียงเพื่อสื่อให้ท่านเหล่านั้นเกิดจิตเมตตาอ่อนโยนไม่ทำร้ายเด็กแล้วเปิดทางให้เด็กออกมา

    เรื่องนี้คนมีสภาวะจิตปกติย่อมเข้าใจได้ เว้นไว้แต่มีปัญญาแล้วยึดมั่นในปัญญาไม่เปิดทางให้เมตตากรุณาสัมปยุต (เข้ามาประกอบร่วม) ก็จะสุดโต่งแข็งกร้าว แล้วหาทางจับผิดลูกเดียว จนแสดงมุทิตา คือ ยินดีในความดีของผู้อื่นในความสำเร็จของคนอื่นไม่เป็น เข้าทำนองอย่างที่เรียกว่า “ริษยา” ชาวบ้านริษยากันก็น่าเกลียดอยู่แล้ว แต่ยิ่งนักธรรมะริษยากันยิ่งน่าเกลียดใหญ่


    เขียนสะกิดกันไว้ ให้พระดีได้ทำงานบ้าง เพราะทุกวันนี้ผู้มีปัญญาต่างพิพากษาจนจะหาพระดีไม่ได้อยู่แล้ว ขอเถอะผู้มีปัญญาทั้งหลาย



    10885489_301229696741920_6129182366229893063_n.jpg

    โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ร้อยโท ดร. บรรจบ บรรณรุจิ

    ขอบคุณที่มา

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 กรกฎาคม 2018
  2. poon-pan

    poon-pan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,300
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,126
    ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน
     
  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,611
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,498
    น้ำใจพระโพธิสัตว์

    *******************

    หลวงพ่อแช่มพระผู้ทรงอภิญญายุค'สงครามอินโดจีน'

    ไลฟ์สไตล์ > พระเครือง : 10 ก.พ. 2557

    7ka75kabi9ibd88ebkba9.jpg



    หลวงพ่อแช่มวัดตาก้อง พระผู้ทรงอภิญญายุค'สงครามอินโดจีน' : รูป/เรื่องไตรเทพ ไกรงู




    หลวงพ่อแช่ม อินทโชโต พระเกจิอาจารย์แห่งลุ่มน้ำนครชัยศรี จ.นครปฐม อีกรูปหนึ่งของจังหวัดที่มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่เคารพนับถือของมหาชนมาตั้งแต่ครั้งสงครามอินโดจีน เป็นที่เคารพศรัทธาของพุทธศาสนิกชนทั้งใกล้-ไกล หลวงพ่อแช่ม เป็นพระผู้ทรงอภิญญา มีญาณทัศนะหยั่งรู้วาระจิต ท่านเป็นผู้ทรงวิทยาคมและพุทธาคมเป็นเลิศ เจ้าของฉายาว่า "เหรียญปืนไขว้"

    ในหนังสือ "ประวัติหลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง" ของ เทพ สุนทรศารทูล กล่าวไว้ว่า เมื่อท่านจำพรรษาอยู่ ณ กุฏิแห่งนี้ ชาวบ้านพากันมากราบท่านทุกวี่วัน ซึ่งคงขัดนัยน์ตาสมภารกร่ายยิ่งนัก ที่หลวงพ่อแช่มมีญาติโยมมาเยี่ยมกราบมิได้ขาด ความไม่ชอบใจหลวงพ่อแช่มของสมภารกร่ายได้นำไปสู่การร้องเรียนต่อเจ้าคณะอำเภอและเจ้าคณะจังหวัด โดยสมภารกร่ายเป็นผู้ร้องเรียนด้วยตัวท่านเอง ที่สุดนำไปสู่การสอบสวนด้วยข้อกล่าวหาที่ฉกรรจ์ถึง ๙ ข้อด้วยกัน และข้อหนึ่งที่น่าสนใจ คือ

    "รดน้ำมนต์ ให้หวย ทำเสน่ห์ เป็นหมอรักษาไข้ให้ชาวบ้าน ผิดกิจของสงฆ์ อวดอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ต่างๆ ผิดศีลของพระภิกษุ"

    การสอบสวนหลวงพ่อแช่มนั้น มีเจ้าคณะจังหวัดพร้อมด้วยเจ้าคณะตำบลและคณะผู้ติดตาม เดินทางมาสอบสวนถึงวัดตาก้อง เมื่อมาถึงกุฏิที่หลวงพ่อแช่มปลูกเป็นศาลา พบหลวงพ่อแช่มนุ่งสบงผืนเดียวนั่งขัดสมาธิคอยอยู่บนพื้นกระดานแผ่นใหญ่ที่ปูอยู่กับพื้นดิน มีไม้ขอนวางรอง ไร้เฟอร์นิเจอร์ใดๆ ทั้งสิ้น กระทั่งเสื่อปูรองก็ไม่มี

    ต่อข้อกล่าวหาว่า "รดน้ำมนต์ ให้หวย ทำเสน่ห์ เป็นหมอรักษาไข้ให้ชาวบ้าน ผิดกิจของสงฆ์" เจ้าคณะจังหวัดได้ถามต่อว่า "เป็นหมอรักษาไข้จริงหรือเปล่า"

    หลวงพ่อแช่มตอบว่า "ผมไม่เคยเป็นหมอรักษาไข้ใคร นอกจากมีคนป่วย ญาติเขามาหาถามอาการดู เห็นว่าพอรักษาได้ก็ให้คนไปซื้อยามา ผมก็เอาลงหม้อ เสกให้เอาไปต้มกินเท่านั้น"

    เจ้าคณะจังหวัดถามต่อว่า "แล้วหายไหมเล่า"

    หลวงพ่อแช่มตอบว่า "ก็เห็นบอกว่าหายดี"

    "เป็นหน้าที่ของสงฆ์หรือเปล่า พระพุทธเจ้าเคยเป็นหมอรักษาใครบ้างหรือเปล่า" เจ้าคณะจังหวัดได้ถามหลวงพ่อแช่มต่อ

    คำตอบจากหลวงพ่อแช่ม คือ "การเป็นหมอรักษาไข้ ไม่ใช่หน้าที่ของพระภิกษุสงฆ์ เป็นหน้าที่ของหมอ แต่ถ้าเขาหมดทางรักษา เรามียาอยู่ ควรจะสงเคราะห์เพื่อนมนุษย์ให้เขาพ้นทุกข์ ผมก็ต้องสงเคราะห์ไปจะผิดจะถูกอย่างไรผมก็ยอม ผมไม่ใช่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ผมจะเป็นได้ก็พระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีช่วยเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก ถ้าผมเห็นว่าควรจะสละศีลเพื่อช่วยชีวิตเขา ผมก็จะสละ ถ้าผมคิดว่าจะสละวินัยเพื่อช่วยคนให้พ้นทุกข์ ผมก็จะสละ ถ้าผมพบผู้หญิงกำลังจะจมน้ำตาย ผมก็จะกระโดดน้ำลงช่วยอุ้มเขาขึ้นมาให้รอดตาย ถึงผมจะถูกปรับอาบัติว่าสังฆาทิเสส ผมก็จะยอม ผมจะไม่รักษาศีลบริสุทธิ์ยอมให้คนจมน้ำตายไปต่อหน้า ถ้าผมทำเช่นนั้นผมก็ไม่รู้ว่าผมบวชเพื่ออะไร"

    ครั้นแล้วการสอบสวนก็เป็นอันเสร็จสิ้น เจ้าคณะจังหวัดได้บอกว่า "คุณไม่มีความผิดอะไร" จากนั้นก็ได้สนทนากับหลวงพ่อแช่มถึงการเดินธุดงค์และคาถาอาคมต่างๆ

    นอกจากนี้แล้ว เทพ สุนทรศารทูล ได้กล่าวถึงตอนท้ายของการสอบสวนหลวงพ่อแช่ม โดยเจ้าคณะจังหวัดในหนังสือ "ประวัติหลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง" ว่าในที่สุดเจ้าคณะจังหวัดก็ถามว่า "ไหนคุณว่าคุณมีดีกว่าพระภิกษุอื่น คุณมีดีกว่าอย่างไร"

    หลวงพ่อแช่ม ก็ว่าอิติปิโสแปดบทให้ฟัง แล้วก็ว่าอิติปิโสถอยหลังให้ฟัง จบแล้วก็บอกว่าพระองค์อื่นก็ว่าอิติปิโสเดินหน้าได้อย่างเดียว แต่ผมนั้นเชี่ยวชาญขนาดว่าทะแยงก็ได้ ว่าถอยหลังก็ได้ จะไม่ดีกว่าพระอื่นได้อย่างไร

    หลวงพ่อแช่ม เป็นชาวนครปฐมโดยกำเนิด เกิดเมื่อ พ.ศ.๒๔๐๕ ตั้งแต่เยาว์วัยได้ศึกษาร่ำเรียนอักขระทั้งภาษาไทยและภาษาขอมกับพระอาจารย์จ้อย วัดดอนเจดีย์ ผู้เรืองวิทยาคม พระอาจารย์เห็นถึงคุณวิเศษและความใฝ่ใจของหลวงพ่อแช่ม จึงประสิทธิ์ประสาทวิทยาการด้านพุทธเวทพร้อมเคล็ดลับต่างๆ ให้โดยไม่ปิดบัง ซึ่งท่านก็สามารถเรียนรู้ได้อย่างแตกฉาน ต่อมาเมื่ออายุครบบวช ท่านจึงเดินทางกลับมาอุปสมบท ณ บ้านเกิด ที่วัดตาก้อง ได้รับฉายา "อินทโชโต" มรณภาพเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๐ สิริอายุ ๘๖ ปี พรรษาที่ ๗๖


    ภาพจิตรกรรมยันต์๑๐๘
    จิตรกรรมฝาผนังในอุโบสถ วิหาร และศาลาวัด สวนใหญ่เป็นภาพเกี่ยวกับพุทธประวัติมหาชาติชาดก ประเพณีท้องถิ่น รวมทั้งภาพจากวรรณคดี แต่ปัจจุบันมีวัดหลายแห่งรวมทั้งจิตรกรหลายท่านมักจะใส่ภาพเหตุการณ์ปัจจุบันลงไปด้วย สร้างสีสันเป็นข่าวฮือฮาอย่างต่อเนื่อง

    สำหรับภาพจิตรกรรมฝาผนังบนศาลาวัดตาก้อง แม้ว่าจะไม่มีภาพเหตุการณ์ปัจจุบันให้เป็นข่าวฮือฮา แต่จิตรกรรมฝาผนังของวัดแห่งนี้ขึ้นชื่อว่าขลังสุดๆ สามารถใช้เป็นตำราเล่มใหญ่ของผู้สนใจในอักขระเลขยันต์ ทั้งนี้ พระครูสาราภิวัฒน์ เจ้าอาวาสวัดตาก้อง ใช้เงินหลายล้านบาทจ้างช่างมาวาดภาพยันต์ด้วยสีน้ำมัน พร้อมคำบรรยายไว้ครบ ๑๐๘ ยันต์

    พระครูสาราภิวัฒน์ให้เหตุผลว่า ไม่อยากให้คนลืมที่จะศึกษาเรื่องอักขระเลขยันต์ การลงยันต์หรือการเขียนยันต์นั้นจะใช้อักขระขอม ซึ่งเขียนเป็นตัวย่อของพระคาถาแต่ละบท เพราะหากเขียนพระคาถาลงไปในยันต์ทั้งหมดเนื้อที่คงไม่พอ จึงใช้อักขระย่อ ส่วนตัวเลขที่อยู่ในยันต์ก็ย่อมาจากอักขระของพระคาถา ข้อควรระวังในการลากเส้นยันต์นั้นควรลากทีเดียวให้ตลอดไม่ใช่ลากแล้วหยุด หากลากแล้วหยุดถือว่ายันต์นั้นใช้ไม่ได้ ต้องใช้คาถาหรือสูตรในการต่อเส้นยันต์นั้นใหม่ยันต์นั้นจึงจะใช้ได้

    อุปเท่ห์อย่างหนึ่งของการลงอักขระเลขยันต์ คือให้ระวังอย่าลงอักขระทับเส้นยันต์เพราะจะทำให้ยันต์นั้นใช้ไม่ได้ ท่านเรียกว่าเป็นยันต์ตาบอด การลงยันต์หรือการเขียนยันต์หากยันต์นั้นมีคาถาหรือสูตรกำกับไว้ผู้เขียนจะต้องภาวนาคาถานั้นไปด้วยพร้อมกับการลงยันต์ ฉะนั้นจึงต้องใช้สมาธิสูง ส่วนขั้นตอนและวิธีการลงยันต์พร้อมทั้งสูตรต่างๆ ยังมีอีกมาก

    สำหรับผู้ที่มีความสนใจเรื่องอักขระเลขยันต์ หากใครได้แวะไปกราบไหว้ขอพรรูปเหมือนหลวงพ่อแช่ม หากมีเวลามากพอน่าจะขึ้นไปชมภาพ "จิตรกรรม ยันต์ ๑๐๘" บนศาลาชั้น ๒


    เหรียญหลวงพ่อแช่มรุ่นแรก
    เหรียญรูปเหมือนหลวงพ่อแช่ม รุ่นแรก สร้างเป็นเหรียญปั๊มขอบหยัก บางทีจึงเรียกกันว่า "เหรียญพัดพุดตาน" หรือ "เหรียญกงจักร" มีหูในตัวแล้วเชื่อมต่อด้วยห่วงกลม โดยสร้างเป็นเนื้อทองแดง มีทั้งแบบรมดำและไม่รมดำ

    ด้านหน้าตรงกลางเป็นรูปเหมือนหลวงพ่อแช่มนั่งครองจีวรห่มคลุม เต็มองค์ มือข้างซ้ายยกขึ้นและมีอักขระขอม "ตัวนะ" ที่ฝ่ามือ ไม่มีอาสนะสำหรับรองนั่งแต่กลายเป็น "ปืนไขว้" แทน ซึ่งเป็นอุปเท่ห์อย่างหนึ่งทางไสยเวทเรียกกันว่า "ข่มอาวุธ" หรือเรียกว่าเป็นการตัดไม้ข่มนาม โดยรอบมีอักษรไทยว่า "หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง" มีอักขระขอมตรงอกเป็น "ตัวอะ" และบริเวณโดยรอบองค์ท่านอ่านว่า "นะ โม พุท ธา ยะ" ในหยักทั้ง ๑๖ หยัก มีพระนามย่อ พระเจ้าสิบหกพระองค์ อ่านว่า "นะมะนะอะ นอกอนะกะ กอออนออะ นะอะกะอํ"

    เหรียญรูปเหมือนรุ่นแรกนี้ยังแบ่งแยกออกเป็น ๒ พิมพ์ คือ พิมพ์หูเดียวและพิมพ์สองหู มีความแตกต่างกันที่ใบหูของรูปเหมือนหลวงพ่อแช่ม ถ้าเป็น "พิมพ์หูเดียว" หูที่รูปเหมือนจะมีเพียงหูข้างขวาของท่านเพียงหูเดียว ส่วน "พิมพ์สองหู" รูปเหมือนจะปรากฏหู ๒ หู แบบปกติ แต่พิมพ์หูเดียว จะมีจำนวนน้อยกว่าจึงเล่นหาได้ยากกว่า สนนราคาเช่าหาจึงสูงกว่า

    แต่ที่แน่ๆ ไม่ว่าจะเป็นพิมพ์ไหนก็ตาม "เหรียญรูปเหมือนหลวงพ่อแช่ม รุ่นแรก พ.ศ.๒๔๘๔" ก็นับเป็นเหรียญเก่าแก่ที่มีความเป็นเลิศในด้านพุทธคุณ คุ้มครองป้องกันภยันตรายต่างๆ ได้ฉมัง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กรกฎาคม 2018
  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,611
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,498

    น้ำใจพระโพธิสัตว์




    36865693_243067379627696_4752695421162225664_n.jpg


    *****************************************


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. poon-pan

    poon-pan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,300
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,126
    จิตดี คิดดี พูดดี
     
  6. poon-pan

    poon-pan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,300
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,126
    ผมมีประสบการณ์อันนึง เป็นเรื่องที่แม่ผมเจอมากับตัว

    เพื่อนของแม่ผมที่บริษัทแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ แกก็เป็นคนนับถือพุทธ แต่แกไม่รู้เป็นอะไร จะชอบว่าพระ ว่าคนสวดมนต์ ว่าคนทำบุญ แม่ผมก็งงว่า ไม่รู้แกเป็นอะไร คนในบริษัทก็ไม่ค่อยอยากจะยุ่งกับแก

    จนมาวันนึง แกก็มาเล่าให้เพื่อนที่บริษัทฟังว่า จู่ๆแกเกิดหายใจไม่ออกตอนอยู่บ้านคนเดียว ทั้งๆที่ไม่ได้เป็นโรคอะไรมาก่อน แกบอกว่า ตอนที่แกหายใจไม่ออกเหมือนกับว่าจะตายอยู่แล้วนั้น จิตแกนึกสวดมนต์ขึ้นมาอยู่ในใจ ทั้งสวดทั้งรู้สึกสำนึก ทั้งนึกขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยให้มีชีวิตรอด
     
  7. Apinya Smabut

    Apinya Smabut นิพพานังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    1,398
    กระทู้เรื่องเด่น:
    57
    ค่าพลัง:
    +2,634
    ถือเป็นกิจของสงฆ์ครับ
    ประโยคแรกที่พระพุทธเจ้าตรัสบอกเมื่อส่งพระ ๖๐ รูป
    ออกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาครั้งแรกก็คือ

    จรถ ภิกฺขเว จาริกํ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขอพวกเธอจงเที่ยวไป
    พหุชนหิตาย เพื่อประโยชน์ของคนหมู่มาก
    พหุชนสุขาย เพื่อความสุขของคนหมู่มาก
    โลกานุกมฺปาย เพื่ออนุเคราะห์แก่โลก

    ในเมื่อโยมเขาเดือดร้อน เขามีความทุกข์
    พระไปแล้วเขามีความหวัง มีความสบายใจ
    มีความสุข เป็นไปตามที่พระพุทธเจ้าสั่งไว้เลย
     

แชร์หน้านี้

Loading...