เรื่องเด่น หลวงปู่สิม พุทธาจาโรเล่าถึงฤทธิ์อภิญญาของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 3 มิถุนายน 2017.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    hqdefault.jpg


    หลวงปู่สิม พุทธาจาโรเล่าถึงฤทธิ์อภิญญาของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ เมื่อครั้งที่ท่านเดินทางจากเชียงใหม่ไปร่วมงานบุญที่วัดท่าซุง อุทัยธานี บันทึกไว้โดยหลวงตาวัชรชัย เ้จาอาวาสวัดเขาวง (ถ้ำนารายณ์) สระบุรี

    หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร เป็นศิษย์ของพระคุณหลวงปู่มั่น ภูริทัตฺโต เป็นประทีปแก้วอีกดวงหนึ่งซึ่งส่องแสงเจิดจ้าจับใจชาวโลก แล้วก็ดับไปตามสัจธรรมที่สมเด็จพ่อของเราทั้งหลายทรงแสดงไว้ ประทีปอันบริสุทธิ์เย็นใจดวงนี้ได้มาเพิ่มความสุขให้แก่บรรดาลูกศิษย์หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ที่วัดท่าซุงถึง 3 ปี ติดต่อกัน ได้ประทับฝากฝังความทรงจำแก่ทุกคนที่ได้พบเห็นไม่มีวันลืมไปได้

    ในการจัดงานวัดของเราเมื่อปี 2518 มีหลวงปู่หลายองค์ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นพระสุปฏิบันโนหรือพระอริยสงฆ์ที่มีผู้คนเคารพนับถือ มาพักที่วัดท่าซุง พ่อสั่งกำชับเป็นคำขาดว่า ไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปรบกวนหลวงปู่ในกุฏิที่พัก ถ้าท่านจะสงเคราะห์ท่านก็ออกมานั่งอาสนะที่จัดถวายไว้ในศาลารับแขกโดยเฉพาะ ตรงกับกุฏิแต่ละหลังก็มีตั่งอาสนะประจำกุฏิ มีประตูทางเดินทะลุจากกุฏิเข้ามาได้เลย ใครๆ จะมาบำเพ็ญกุศลกราบนมัสการก็ให้นั่งคอยที่นี่จนกว่าท่านจะมาสงเคราะห์เอง ห้ามมิให้ผู้ใดฝ่าฝืนเป็นเด็ดขาด

    ก็มาถึงเรื่องของหลวงปู่สิม ความเมตตาจริยาปกติของท่าน คือหลวงปู่สิมน่ะเวลาท่านฉันอาหาร ท่านจะเรียกญาติโยมที่ถวายอาหารเข้าไปรับพร ยถา....สัพพีก่อนแล้วจึงฉัน ทีนี้ท่านเรียกแม่ครัวทุกคนเข้าไปรับพร ก็ต้องรีบกราบเรียนท่าน

    “หลวงปู่ครับ หลวงพ่อห้ามคนเข้ามารบกวนที่กุฏิครับ...”

    ท่านยิ้ม “เขามารบกวนที่ไหน เขามาทำบุญให้หลวงปู่อิ่มหนำสำราญ แล้วเขาก็ไม่ได้เข้ามาเอง......หลวงปู่เรียกเข้ามา....”

    “ก็....หลวงพ่อสั่ง....” ท่านยิ้มอีก... ยิ้มแบบฉันตอบเธอได้ “หลวงพ่อท่านห้ามเฉพาะคนรบกวนหรอกน๊า.... เธอไม่เห็นเหรอนั่นน่ะ หลวงพ่อยิ้มอยู่ในกุฏิพยักหน้าให้หลวงปู่เรียกเข้ามาได้....”

    โดนเข้าไม้นี้ มันมึนเลย ก็เลยนึกออกถึงคำสั่งพ่อที่เพิ่มเติมมาภายหลังว่า

    “นอกจากคนที่ถือจดหมายมีลายมือข้าอนุญาต หรือคนที่หลวงปู่เรียกเข้าพบจึงจะให้เข้าไปได้...”

    ก็เลยเต็มใจอนุญาต แต่ก็ยังค้างคาใจว่า.... พ่ออยู่กุฏิริมน้ำคนละฝั่งถนน นี่พวกเราอยู่กันในกุฏิหลังพระอุโบสถ หลวงปู่ท่าน “เห็นพ่อพยักหน้าอนุญาต” เอ.... นี่หลวงปู่ก็ยิ้มอีก ทีนี้ยิ้มแบบรู้ใจ

    “จะสงสัยอะไรกันอี๊ก...ก ไม่มีอะไรที่ไหนที่หลวงพ่อท่านไม่รู้...”

    ที่หลวงปู่รู้ว่าพ่อรู้อะไรทุกอย่าง แล้วก็เป็นไปตามที่ท่านต้องการ ลูกพ่อที่เป็นแม่ครัวและผู้รับใช้พระได้เข้ากราบรับพรกันหมด ท่านก็นั่งยะถา เราก็นั่งนอบรับฟัง รับพร

    “หลวงปู่ว่า หลวงพ่อทราบที่เราเข้ามากันแล้ว คงไม่โดนดุนะครับ...” ถึงจะพูดยังไงก็ยังระแวงภัยตะพด

    “เอ๊ย... บอกแล้วยังจะถาม เอ๊อ...จะมีอะไรที่หลวงพ่อท่านไม่รู้.....” หลวงปู่สิมเรียกพ่อว่า “หลวงพ่อ” ทุกคำเลยจริงๆ ทั้งๆ ที่อายุไม่รู้ว่าใครแก่กว่าใคร

    “มีอะไรที่หลวงพ่อท่านทำไม่ได้ เรื่องอภิญญาทำฤทธิ์นี่ หลวงพ่อท่านทำได้มากกว่าคนอื่น เอ๊อ ! รู้ไหมว่าหลวงพ่อท่านทำฤทธิ์ได้ล่วงหน้า สั่งฤทธิ์ให้ออกผลนานๆ ได้....”

    “เธอสังเกตไหมว่าตอนเตรียมงานนี่แดดร้อนจ้าตลอดวัน...”

    “ครับ”

    “นั่นแหละ ! หลวงพ่อท่านอธิษฐานฤทธิ์ไว้อย่างนั้น ท่านทำให้แดดร้อนจัดก่อนวันงาน 7 วัน พวกเธอจะได้วิ่งทำงานกันไม่งั้นจะเสร็จไม่ทันวันงาน เธอไปคอยดูนะ.... ก่อนในหลวงมา 1 วัน ฝนจะตกให้ดินชุ่มไม่มีฝุ่น วันในหลวงมา ฝนจะพรำพรมดินก่อนเสด็จ 1 ชั่วโมง พอในหลวงมาถึงจะมีเมฆใหญ่เหมือนร่มกางคลุมวัดกว้างครึ่งกิโล (กิโลเมตร) พอในหลวงกลับแล้วก็เย็นสบาย เสร็จงานวันรุ่งขึ้นฝนเทท่วมถึงข้อเท้าเลย.... นั่นแหละฤทธิ์ของหลวงพ่อ ท่านทำสั่งได้อย่างนั้น คอยดูซิ....”

    แล้วเหตุการณ์ต่างๆก็เกิดตามคำหลวงปู่สิมเลย แล้วยิ่งกว่านั้น เหตุการณ์ในหลวงก่อนจะเสด็จ... กำลังประทับอยู่ที่วัด หลังจากในหลวงกลับไปแล้ว ตลอดจนวันรุ่งขึ้นเลิกงานแล้ว มันเป็นไปตามที่หลวงปู่สิมบอกว่า “พ่อของเราอธิษฐานไว้ทุกประการ”

    นี่เขียนไปลืมถามความเห็นท่านผู้อ่าน ถ้าหลวงปู่สิมทราบรายละเอียดการอธิษฐานฤทธิ์ของพ่อได้ถูกต้องยาวเหยียดอย่างนี้ หลวงปู่เป็นพระระดับไหนกันหนอ อันที่จริงพ่อก็บอกกับผู้เขียนแล้วว่า

    “แกระวังตัวกันหน่อย บุญมากบาปก็มาก หลวงปู่สิมน่ะเป็นพระจบกิจแล้ว ระวังใจลูกเอ๋ย.... ใจเคารพมุ่งมั่นให้ท่านสะดวกกายสบายใจ กริยาอาการร่างกายจะโดกเดกไปหน่อยก็ไม่เป็นไร...”

    .....หลังจากเสร็จงานวัดทั้ง 3 ปี แล้ว พระคุณหลวงปู่สิมก็ยังเมตตาวนเวียนมาเยี่ยมพ่อที่ซอยสายลมเสมอ ยังจำได้ วันนั้นตอนบ่ายพ่อคุยกับลูกๆ เต็มห้องโถง พอหลวงปู่สิมมากราบ กราบงามจริงๆ นอบน้อมจริงๆ พ่อเราก็เมตตานุ่มนวลรับไหว้.... นิมนต์หลวงปู่นั่งบนเก้าอี้อาสนะที่พ่อนั่งเทศน์กลางคืน

    “เอ้า...สิม (หลวงพ่อฤๅษีลิงดำเรียกอย่างนี้จริงๆ แต่น้ำเสียงฟังออกเลยว่าทั้งนุ่มนวลทั้งชื่นชม) ช่วยเมตตาเทศน์ให้ลูกหลานฟังทีเถอะ ผมท้องไม่ดีเลยนั่งอั้นอยู่นานแล้ว.....”

    หลวงพ่อหายไปแล้ว.... ไม่ลงมาเลยเกือบชั่วโมงที่หลวงปู่เทศน์ เมื่อจบแล้วพ่อจึงลงมานั่งคุยกันต่อ แต่หลวงปู่ดูจะกลัวๆ พ่อ ไม่ค่อยโต้ลูกเหมือนหลวงปู่บุดดา ผู้เขียนไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร แต่ว่ามาทราบเรื่องสำคัญของมารยาทพระแท้เข้า คือ ไอ้ปากที่คันเป็นสันดานนั่นแหละที่ถามพ่อในภายหลัง “ทำไมหลวงพ่อไม่นั่งอยู่ให้ลูกๆ ชื่นใจคู่กับหลวงปู่สิมตลอดเวลา......”

    พ่อก็ตอบเต็มใจเมตตา แต่ปากออกมาอีกอย่างหนึ่ง

    “ไอ้คนระยำ..อย่างแกนี่จะบวชเป็นพระกับเขาได้ยังไง จำไว้นะประเพณีมารยาทพระแท้น่ะ ถ้าองค์หนึ่งเทศน์หรือแสดงธรรมอยู่ อีกองค์ท่านจะหลีกเร้นไปเพื่อถวายความเคารพในพระธรรม และองค์แสดงธรรมก็จะแสดงธรรมสะดวกใจ นอกจากจะเป็นการเทศน์หลายธรรมมาสน์ หรือนั่งสนทนาธรรมเป็นปกติธรรมดาๆ”

    “โง่.... แล้วยังอวดฉลาด ข้าหมายถึงพระอรหันต์หรือพระที่เป็นที่ยอมรับของประชาชน 2 องค์ อยู่ในที่เดียวกัน เป็นมารยาทประเพณีที่ต้องถวายความสนใจของประชาชนให้อยู่ในที่องค์แสดงธรรมเสมอ ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ให้นั่งสงบฟังธรรมไปด้วยความเคารพ ไม่บังอาจสอดแทรกหรือแบ่งแยกความสนใจ หลวงปู่สิมท่านเป็นพระอรหันต์ ข้าเองแม้จะไม่ได้เป็นอะไรกับเขา ก็ยังต้องเคารพอริยประเพณีอันนี้”

    แล้วยังนึกถึงหลวงปู่สิม ก็ยิ่งเห็นเด่นชัดในจริยาพระทองคำแท้ ครั้งหนึ่ง..... พ่อไปแจกของให้กำลังใจทหารตำรวจที่ชายแดนตราพระยาด้านเขมร พ่อก็ชวนหลวงปู่สิมไปด้วย ลูกหลานพ่อก็เต็มขบวนเสด็จเลยละไปทำงานกัน สำหรับพี่น้องทหารหาญที่พลีชีวิตยอมลำบากเพื่อรักษาแผ่นดินพระพุทธศาสนาของเรานี้ พ่อไม่เคยทอดทิ้ง

    พ่อบอกให้หลวงปู่สิมช่วยแจกเหรียญ หลวงปู่ก็นบไหว้รับคำ แจกเหรียญกูผู้ชนะและผ้ายันต์พิชัยสงครามแก่ทหารลูกหลานที่เข้าแถวมารับ.... พ่อบอก “สิม.... ช่วยให้โอวาทให้กำลังใจไอ้หนูทหารมันหน่อยเถอะ”

    หลวงปู่สิมก็หันมาไหว้ยิ้มบอกว่า “กระผมไม่บังอาจ นิมนต์หลวงพ่อเถิดขอรับ”

    พ่อบอก “เอ้า ! ฉันข้าวกันเถอะ” หลวงปู่ก็นอบน้อมร่วมฉันในอาการสำรวมนอบนบแต่งามสมภูมิของสงฆ์

    อย่างนี้เองหนอคือความงามของสงฆ์ องค์หนึ่งเมื่อจำต้องนั่งในฐานะดูเหมือนสูงกว่า นุ่มนวลเมตตา ไม่มีอาการยกตัวแม้แต่น้อย องค์หนึ่งก็ถ่อมถอยคารวะ แต่ก็ดูเต็มใจเต็มตา ....ชื่นอกชื่นใจแก่ผู้ได้พบเห็น.....



    ที่มา : จากหนังสือ "เสียงจากถ้ำ (นารายณ์) ฉบับพิเศษ เขียนโดย หลวงตาวัชรชัยเจ้าอาวาสวัดเขาวง (ถ้ำนารายณ์)
    https://www.pageqq.com
     

แชร์หน้านี้

Loading...