พระสมเด็จหลวงพ่อสัมฤทธิ์ลป.สีวัดไผ่เงินรุ่น๒ปรกโพธิ์เขาอ้อ เหรียญลพ.ปี้ ด่านลานหอย

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 17 สิงหาคม 2022.

  1. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,898
    ค่าพลัง:
    +21,362
    LUANGPOO_VIVIAN.jpg

    มีอยู่ท่านหนึ่งที่อาตมาลืมกันไปแล้วท่านก็ยังมา คือ หลวงปู่วิเวียร วัดดวงแข เคยได้ยินชื่อไหม ?
    หลวงปู่วิเวียร วัดดวงแข มรณภาพไปไม่นาน ท่านเป็นพระธรรมยุต เป็นสหธรรมิกรุ่นน้องของหลวงปู่มหาอำพัน แต่ท่านไม่ได้มาสายสุกขวิปัสสโกเหมือนกับหลวงปู่มหาอำพัน ท่านมาแรงกว่านั้น คราวนี้สมัยที่หลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่ จะว่าไปจริง ๆ แล้วท่านดังมากนะ แต่พวกเราอาจจะไม่รู้จัก เพราะว่าท่านเป็นพระธรรมยุต เวลาท่านสร้างวัตถุมงคล เตาหลอมจะมีสังกะสีล้อมแล้วเป่าไฟจนสังกะสีแดงโร่เลย ท่านก็เจิมเตาหลอมทั้งอย่างนั้นแหละ ชาวบ้านเห็นคาตาทุกครั้ง
    ถามหลวงปู่ว่าทำไมถึงต้องเจิม ? “ก็ทำตามหลักวิชาที่ศึกษามา ถ้าไม่ทำอย่างนี้ไม่ต้องมาให้ข้าทำ” ท่านถนัดที่สุดคือกสิณน้ำ พระที่ท่านสร้างออกมานี่เมตตามหานิยมสุด ๆ ขนาดรุ่นหนึ่งท่านต้องเก็บบรรจุกรุหมดเลย เพราะว่าลูกศิษย์ดันทะลึ่งไปได้ผู้หญิงแล้วก็ไม่ยอมเลี้ยงเขา
    หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน กล่าวถึง
    ลพ วิเวียร วัดดวงแข

    พระสมเด็จ2นะ นะทั้ง2ตัวนี้หลวงปู่เสกด้วยนะหน้าทองและนะปัดตลอดท่านเคยสอนว่าก่อนจะทำตัวนะทั้ง2นี้ให้ทำตัวนะปะถะมังก่อนแล้วลบเป็นตัวนะอีกที1ตัวนะปะถะมังจะคล้ายตัวนะธรรมดา (เป็นวงกลม-ไม้ง่าม-วงกลม-งอเป็นตะขอ-เป็นเศียรกลม) แล้วเรียกสูตรพร้อมลงตัวนะปถมังพินทุกังชาตังทุติยังทัณฑะเมวะจะตติยังเภทะกัญเจวะจตุถังอังกุสัมภะวังปัญจะมังสิระสังชาตังนะกาโรโหตุสัมภะโว จงมาบังเกิดเป็นตัวนะปถมังเสร็จแล้วก็ลบเป็นตัวนะทั้ง2ต่อไป แล้วเสกกำกับต่อไป หลวงปู่เคยพูดว่ารุ่นหลังๆฉันเก่งแล้วนะแต่ละรุ่นละปีแต่ละแบบท่านเศกยากขึ้นเรื่อยๆเวลาท่านนั่งเสกท่านจะเรียกสูตรต่างๆพระคาถาต่างๆที่ลงอยู่ที่องค์พระเป็นเวลานาน พระดีที่อย่ามองข้ามนะครับ

    เนื้อหามวลสารมี ผงนะปถมัง ผงพระพุทธคุณ ผงตรีนิสิงเห ผงอิทธเจ ผงมหาราช ท่านยังลบผงอื่นๆอีกมากเช่น ผงชินปัญชร+สัตตะนาเค+สัมพุทเธ+มหาปฐหมื่น+ไก่เถื่อน+ฝนแสนห่า ฯลฯ.ผงเสกท่านให้เอาดินสอพองมาบดให้ละเอียดแล้วท่านนั่งเสกเป็นผงเสก ผงเกษรดอกไม้เช่น เกษรบัว +มะลิ+พิกุล+บุญนาค จากที่ศักดิ์สิทธิ์ ว่านมงคล เช่นเสน่ห์จันทร์ทั้ง 5 และจาก อ.สัมฤทธิ์ อ.สอนว่านสมุนไพรที่ มจร. ดินกากยายักษ์ ดินวิเศษแห่งแดนใต้ พระราชญาณเวที(หลวงปู่สุระ)วัดยะลา วัดสวนใหม่ จ.ยะลา สหธรรมหลวงปู่ที่ให้ความนับถือในพุทธาคมกันมาก ท่านเคยศึกษาวิชาสัมพุทเธหงสาร่วมกันที่วัดดวงแข เมื่อปี2512 เป็นผู้เอามาให้ 5 ปี๊บ หลวงปู่ให้ผสมผงเหล่านี้ตามกรรมวิธีของท่าน เนื้อผงสีขาวเหลืองก็ใส่ดินกากยายักษ์น้อย เนื้อผงสีเทาดำก็ใส่ดินกากยายักษ์มาก ตามอัตราส่วนไปใช้น้ำมันทั้งอิ๊วและกล้วยน้ำเป็นตัวเชื่อม

    สมเด็จ 2 นะ ของดีที่ไม่ควรมองข้าม
    สมเด็จ 2 นะเป็นพระสมเด็จที่บรรจุสุดยอดวิชาของหลวงปู่ ถึงสองวิชา อักขระนะ ทั้งสองข้างพระสมเด็จ นะตัวแรกเสกด้วย #วิชานะปถมัง นะตัวที่สองเสกด้วยวิชา #นะปัดตลอด ซึ่งทั้งสองวิชานี้เป็นหนึ่งในวิชาของการลบผงตามพระคัมภีร์ปถมัง อันหลวงปู่เชียวชาญเป็นอย่างยิ่ง
    เรามาทำความรู้จักอักขระ นะ เสียก่อน ว่า คืออะไร
    #นะปถมัง #นะปัดตลอด
    ขออนุญาตแอดมินเพจ ในการนำเสนอบทความ เพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับสมาชิกในกลุ่ม ในฐานะผู้ที่ชื่นชอบในศาสตร์โบราณ มิใช่ในฐานะผู้รู้ หรือ ตั้งตนเป็นอาจารย์ แต่เขียนตามคำบอกเล่าเท่าที่พอจะจำได้ จากคำบอกเล่าของครูบาอาจารย์ การศึกษา ค้นคว้า จากตำรับตำรา เท่าที่สติปัญญาจะพึงหาได้ ดังนั้นจึงมิอาจจะลงลึกในรายละเอียด คาถาปลุกเสกเพราะตัวของข้าพเจ้าเองก็ยังเปรียบเป็นเด็กอนุบาล ดังนั้นย่อมมีความผิดพลาด แตกต่าง ตามคตินิยมของสำนักต่างๆ ที่ยึดถือกันมา จึงยินดีที่จะรับฟังคำชี้แนะ ในแนวทางของกัลยาณมิตร ติเพื่อก่อประโยชน์ จึงขอให้ทุกท่านเข้าใจในแนวทางของข้าพเจ้าเสียก่อน หากท่านอ่านแล้วเกิดความสนใจใคร่ศึกษา ก็พึงหาอาจารย์ท่านผู้รู้ต่อยอดศึกษาเถิด
    #นะปถมัง #กำเนิดของนะปถมัง
    “เริ่มแรกเมื่อครั้งต้นกัปโลกนี้ยังว่างเปล่าอยู่ พื้นแผ่นดินยังเพิ่งจะงวดจากน้ำ เริ่มจะเกิดเป็นพื้นดินขึ้นมา ท้าวสหัมบดีพรหมได้เล็งญาณลงมาแลเห็นดอกบัวโผล่พ้นระลอกน้ำขึ้นมา ๕ ดอก ก็ทราบด้วยญาณว่าใน อนาคตกาลเบื้องหน้าจะบังเกิดพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ๕ พระองค์ เป็นกำเนิดแห่งภัทรกัปอันประเสริฐยิ่ง แล้วจึงได้หยิบหญ้าคาทิ้งลงมาบนพื้นน้ำ น้ำนั้นก็งวดเป็นแผ่นดินขึ้น มีกลิ่นหอม เหล่าพรหมได้กลิ่นง้วนดินต่างลงมาเสพกิน ติดรสง้วนดินนั้นมิอาจกลับคืนสู่พรหมโลกได้ จึงได้ตั้งรกรากเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์สืบมาจนทุกวันนี้ ฉะนั้นจึงถือท้าวสหัมบดีพรหม เป็นครูต้นของคัมภีร์ปถมัง เมื่อจะเล่าเรียนให้กล่าวโองการนมัสการท้าวสหัมบดีพรหมเสียก่อน”
    นะปถมัง ประกอบไปด้วยปัญจสาขา พินธุ (แวววงกลม) ทัณฑะ (ไม้ง่าม) เภทะ (กิ่งไม้ที่แตกหน่อจากไม้ง่าม) อังกุ (ตะขอ) สิระ (เศียร) เริ่มเขียนตามลำดับ มีคาถาเสกประจำตัว และเมื่อสำเร็จเป็นนะปถมังแล้ว มีคาถานมัสการนะ รายละเอียดเชิงลึกมีความซับซ้อนพิศดารมาก พึงศึกษาจากคัมภีร์ปถมังภายใต้การชี้แนะของท่านผู้รู้เถิด
    นะปถมัง โบราณคณาจารย์ยังเรียกขานนามอีกหลายชื่อ ตามแต่ละสำนัก อาทิเช่น นะตัวต้น เหตุที่เรียกเช่นนี้ เพราะเป็นนะที่เกิดขึ้นตัวแรก เป็นต้นกำเนิดของนะทั้งหลาย อีกนัยหนึ่ง นะตัวนี้เป็นนะตัวแรกที่จะต้องเขียนพร้อมกับปฐมอักขระ “นะโมพุทธายะ สิทธัง” ในการเริ่มเขียนกระดานชนวนครั้งแรก , นะปฐมกัป เหตุที่เรียกเช่นนี้ เพราะเป็นนะที่เกิดขึ้นพร้อมกับภัทรกัปนี้, นะพินทุ เหตุที่เรียกเช่นนี้ เพราะนะตัวนี้กำเนิดจากการเขียนพินธุหรือวงกลมเป็นลำดับแรก, นะทรงแผ่นดิน เหตุที่เรียกเช่นนี้ เพราะ เมื่อท้าวสหัมบดีพรหมส่องทิพย์ญาณลงมาเมื่อแผ่นดินเริ่มแห้งก็ปรากฏนะตัวนี้บนแผ่นดิน, นะปัดตลอด เหตุที่เรียกเช่นนี้ เพราะวีธีการเขียนนะตัวนี้จะพบในการเขียนนะตัวอื่นตลอดไป อีกนัยหนึ่งคือเมื่อผู้สำเร็จนะตัวนี้ในทางวิทยาคุณ สามารถใช้นะตัวนี้ทะลุผ่านสิ่งต่างๆได้, ทั้งหมดนี้คือนามของนะปถมัง
    นะปถมัง เป็นนะตัวต้นที่ผู้ใคร่ศึกษาต้องเรียนรู้ หัดเขียนเป็นลำดับแรก เมื่อจะหัดเขียนอักขระขอมในกระดานชนวนให้เขียนปฐมอักขระ “นะโมพุทธายะ สิทธัง” และนะปถมัง จึงจะเริ่มเขียนอักขระอื่นต่อไป เป็นบทเรียนแรกตามลำดับขั้นตอนการศึกษาวิทยาคม ดังปรากฏในเสภาขุนช้างขุนแผน
    “อันเรื่องราวกล่าวความพลายงามน้อย
    ค่อยเรียบร้อยเรียนรู้ครูทองประศรี”
    ทั้งขอมไทยได้สิ้นก็ยินดี
    เรียนคัมภีร์พุทธเพทพระเวทมนต์
    ปัถมังตั้งตัวนะปัดตลอด
    แล้วถอนถอดถูกต้องเป็นล่องหน
    หัวใจกริดอิทธิเจเสน่ห์กล
    แล้วเล่ามนต์เสกขมิ้นกินน้ำมัน
    เข้าในห้องลองวิชาประสาเด็ก
    แทงจนเหล็กแหลมลู่ยูขยั้น
    มหาทะมื่นยืนยงคงกระพัน
    ทั้งเลขยันต์ลากเหมือนไม่เคลื่อนคลาย”
    นะปถมัง เปรียบดังหญ้าปากคอก ที่ผู้ศึกษาส่วนใหญ่มองข้าม พื้นฐานของการศึกษาตามจารีตโบราณ การเรียนรู้ควรเริ่มจากโคนไปสู่ยอด เมื่อฐานไม่มั่นคงย่อมที่จะต่อยอดไปไม่ได้ อิทธิคุณแห่งนะปถมังนั้น ดังคำพังเพยโบราณ
    “ปถมังพินธุนี้ไซร้ ผู้ใดได้เรียน นะ มิต้องขอก็มาเอง ”
    นี้คือที่มาของนะปถมัง นะปัดตลอด .... หลวงปู่เคยพิสูจน์ให้เห็น ตอนเจิมผ้ายันต์สัมพุทเธหงสา โดยท่าน ตบทองจากผ้ายันต์ผืนแรกให้ทะลุผ่านกองผ้ายันต์ทุกผืนให้ทองติดจนถึงผืนสุดท้าย หลวงปู่ได้นำสองวิชานี้มาเสกพระสมเด็จรุ่นนี้ ความขลังความศักดิ์สิทธิ์ย่อมคุ้มครองชีวิตเราได้หากเราหมั่นกระทำแต่กรรมดี


    “หลวงปู่วิเวียร วัดดวงแข”พระแท้เมืองกรุง
    พระเครื่องขลัง”เมตตามหานิยม-แคล้วคลาด”
    พระวิมลธรรมภาณ หรือที่เรียกขานกันด้วยความเคารพว่า “หลวงปู่วิเวียร”อดีตเจ้าอาวาสวัดดวงแข แขวงรองเมือง เขตปทุมวัน กทม. ท่านเป็นหนึ่งใน “พระดีเมืองกรุง” ที่ควรค่าแก่การจดจำและนำเสนอสู่การรับรู้ของสาธารณชน เพราะเมื่อครั้งท่านยังมีชีวิตอยู่ ได้ดำรงตนเป็นมิ่งขวัญของลูกศิษย์ลูกหา และเป็นกำลังสำคัญของพระพุทธศาสนาได้อย่างไม่มีที่ติ เรื่องงานบูรณะพัฒนา ท่านก็มิน้อยหน้าพระสงฆ์องค์ใด หรือในด้านวิชาอาคม ก็ไม่เป็นสองรองใคร แถมยังมีพระเครื่องวัตถุมงคลที่ได้รับความนิยม และมีประสบการณ์สูงเช่นกัน
    หลวงปู่วิเวียรท่านมีนามเดิมว่า “สังเวียน บุญมาก” เกิดที่บ้านหมู่ 8 ต.บ้านแก่ง อ.เมือง จ.นครสวรรค์ เมื่อวันพุธที่ 9 พ.ย. 2464 บุตรของนายกริ่ม และนางพริ้ง มีพี่น้องรวม 6 คน ท่านเป็นคนสุดท้อง เยาว์วัยได้รับการศึกษาเบื้องต้นที่ ร.ร.ประชาบาลวัดบ้านแก่ง จนจบชั้นป.4 แล้วเรียนต่อจนจบวิชาครูเกษตรกรรมที่จ.นครสวรรค์
    ในปีพ.ศ.2482 ได้เข้ากรุงเทพฯ และบรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุ 18 ปีที่วัดดวงแข เมื่อวันที่ 9 ก.ค. 2482 สมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ (สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชิรญาณวงศ์) วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้อยู่จำพรรษาและศึกษาพระปริยัติธรรมจนสอบได้นักธรรมโทเมื่อปีพ.ศ.2484 และได้อุปสมบทในเดือนพ.ค.ปีเดียวกันนี้ โดยสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระสุพจนมุนี (พระพรหมมุนี สุวจเถร) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระปลัดรัตน์ (พระญาณวิสุทธิเถร) วัดดวงแข เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า “ฐิตปุญโญ” และในคราวอุปสมบทนี้ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น “วิเวียร”
    เมื่อบวชแล้วได้เข้าสอบบาลี 3 ประโยค แต่ปรากฏว่าสอบตกจึงเดินทางกลับบ้านเกิดเข้าพักอยู่กับพระครูนิวุตถ์พรหมจรรย์ (หลวงพ่ออยู่) เจ้าอาวาสวัดบ้านแก่ง ซึ่งเป็นบิดาบุญธรรม และช่วงนี้เองทำให้ท่านหันเหชีวิตมาในแนวทางปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ศึกษาพระเวทย์วิทยาคมจากหลวงพ่ออยู่จนมีความเชี่ยวชาญ ซึ่งหลวงพ่ออยู่องค์นี้ เป็นศิษย์เอกของ 3 พระอาจารย์ดังในอดีตคือ หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จ.ชัยนาท,หลวงปู่เฮง วัดเขาดิน จ.นครสวรรค์ และหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ จ.นครสวรรค์
    ทั้งนี้ วิชาอาคมต่างๆของ 3 พระเกจิอาจารย์ดังนี้หลวงพ่ออยู่ได้ถ่ายทอดให้ท่านจนหมดสิ้น และปัจจุบันตำราพระเวทย์เหล่านี้ยังอยู่ที่วัดบ้านแก่ง ทั้งนี้ ท่านได้เดินทางขึ้นล่องระหว่างวัดดวงแข และวัดบ้านแก่ง โดยจะอยู่เข้าพรรษาที่วัดดวงแข พออกพรรษาจะมาศึกษาพระเวทย์ต่างๆที่วัดบ้านแก่ง ตั้งแต่ปีพ.ศ..2485-2491 ซึ่งเป็นปีที่หลวงพ่ออยู่มรณภาพ เมื่อจัดงานศพพระอาจารย์เสร็จแล้วได้กลับมาวัดดวงแขเพื่อทบทวนวิชาความรู้
    ประมาณปีพ.ศ.2495 พระอาจารย์สิงห์ ขันตยาโม (พระญาณวิศิษฏ์สมิทธิวีราจารย์ ) วัดป่าสาละวัน จ.นครราชสีมา ได้มาพำนักอยู่ที่วัดดวงแข หลวงปู่วิเวียรจึงมีโอกาสได้รับการถ่ายทอดเวทย์วิทยาคม และรับการอบรมสั่งสอนวิปัสสนากรรมฐาน การเขียนอักขระเลขยันต์ต่างๆ ซึ่งท่านต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจนานกว่า 5 ปี ทีเดียว ในระหว่างนี้ พระอาจารย์สิงห์ได้เล่าให้ฟังถึงเรื่องราวเกี่ยวกับพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต และพระอาจารย์ต่างๆ พร้อมกับแนะนำให้ไปกราบเมื่อมีโอกาส หลังจากพระอาจารย์สิงห์กลับไปโคราชแล้ว ท่านก็มีโอกาสพบกันอีกหลายครั้ง เช่นที่วัดบรมนิวาส, วัดปทุมวนาราม กทม. และที่ต่างจังหวัดอีกหลายวัด รวมทั้งเคยร่วมธุดงค์ไปถึงประเทศลาว
    นอกจากนี้ ท่านได้ไปเรียนวิชาลบผงกับหลวงพ่อโด่ วัดนามะตูม จ.ชลบุรี และได้รับคำแนะนำให้ไปกราบหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ จ.ระยอง แม้ท่านจะไม่เคยได้ไปพบ แต่ก็ให้ความเคารพนับถืออย่างมาก เวลามีพุทธาภิเษก หรือพิธีเททองหล่อพระที่วัดดวงแข ท่านจะต้องเอารูปเหมือนหลวงปู่ทิมมาร่วมพิธีทุกครั้งไป ส่วนพระอาจารย์องค์อื่นที่ท่านให้ความเคารพนับถือก็มี หลวงปู่ทองอยู่ วัดใหม่หนองพะอง จ.สมุทรสาคร,หลวงพ่อสนิท วัดศีลขันธาราม จ.อ่างทอง ,หลวงปู่บุญฤทธิ์ พระอาจารย์สายกรรมฐาน ฯลฯ
    หลวงปู่วิเวียรเป็นพระที่มีเมตตาสูง ท่านให้ความอนุเคราะห์ผู้ยากไร้ตลอดเวลาจนเป็นที่ทราบของพระเถระผู้ใหญ่หลายท่าน ตลอดจนบรรดาศิษยานุศิษย์ ท่านถือหลักพรหมวิหาร 4 ใครมาหาก็จะประพรมน้ำพระพุทธมนต์ให้ พร้อมว่าพระคาถาเพื่อเป็นสิริมงคลแล้วพูดว่า “เจริญเฮงๆกันนะ” ทุกครั้งไป ไม่ว่าวัดไหน หน่วยงานราชแห่งใด มาขอพึ่งท่านจะช่วยเหลือมิได้ขาด ผลงานของท่านจึงปรากฏเป็นรูปธรรมอยู่มากมาย โดยเฉพาะภายในวัดดวงแขที่กล่าวได้ว่า ท่านเป็นผู้พลิกฟื้นสภาพวัดที่ทรุดโทรมให้กลายมาเป็นวัดที่เจริญรุ่งเรือง มีความร่มรื่นน่าอยู่อาศัยศึกษาและปฏิบัติไม่แพ้อารามใดในเมืองกรุง
    ภารกิจทางคณะสงฆ์ที่ได้รับมอบหมายท่านปฏิบัติมิเคยขาด งานด้านสาธารณูปการท่านก็สร้างสรรค์ไว้นับไม่ถ้วนทั้งที่วัดดวงแข และจ.นครสวรรค์บ้านเกิด รวมไปถึงอีกหลายๆจังหวัดทางภาคเหนือ แม้กระทั่งในต่างประเทศ นอกจากนี้ ได้เป็นครูสอนปริยัติธรรมอบรมสั่งสอนพระเณร ชาวบ้านมาตั้งแต่บวชเป็นพระใหม่ๆ เป็นอาจารย์สอนกรรมฐานแก่ผู้ที่สนใจน และเทศนั่งสอนแนะนำจนเป็นที่ชื่นชอบของพุทธศาสนิกชนทั่วไป และมีคิวนิมนต์ไปเทศน์ตามสถานที่ราชการอยู่เสมอ และสิ่งที่ท่านให้ความสำคัญมากก็คือ การศึกษาของเด็กนักเรียนโดยจะมีการมอบทุนให้ทุกปี
    ในด้านงานเขียนท่านได้แต่งหนังสือไว้ประมาณ 10 เรื่อง เช่น ค่าของคน,วิถีทางของคน,เด็กน้อย,ค.ควาย และค.คน แต่น่าเสียดายเรื่องนี้ไม่มีการพิมพ์แพร่หลายออกมาเพราะช่างพิมพ์เอาเรื่องนี้จะไปตีพิมพ์ แต่มาป่วยเสียชีวิตไปเสียก่อน ต้นฉบับเลยหายไปด้วย
    การจัดสร้างวัตถุมงคลของหลวงปู่วิเวียร ท่านจะอนุญาตให้สร้างได้ปีละ 1 ครั้งเท่านั้น ยกเว้นปีใดที่มีวันสำคัญเช่นวันเสาร์ 5 หรือวันจันทร์ตรีคือ วันจันทร์ขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 ก็จะอนุญาตให้สร้างเป็นกรณีพิเศษ และกำชับเสมอว่าอย่าทำเป็นการค้า แต่ให้ยึดถือปฏิบัติในทางเมตตาคือการแจก หรือมอบให้ผู้มีจิตศรัทธามาร่วมทำบุญ และห้ามให้นำไปทำบุญนอกวัดเด็ดขาด

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระสมเด็จ 2 นะให้บูชา 250 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ (ปิดรายการ)

    IMG_20250305_054933.jpg IMG_20250305_055005.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มีนาคม 2025 at 06:25
  2. shaj

    shaj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    8,050
    ค่าพลัง:
    +6,991
    ขอจองครับ
     
  3. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,898
    ค่าพลัง:
    +21,362
    FB_IMG_1741131081654.jpg

    ท่านเป็น ๑ ใน ๑๐๘ พระเกจิคณาจารย์ ทรงวิทยาคมที่ได้รับการนิมนต์เข้าร่วมพิธีพุทธาภิเษกสุดยอดพระเครื่องของเมืองสยาม
    ....ปาฏิหารย์เกี่ยวกับหลวงพ่อท่านมีหลายอย่างมากมายที่ท่าน แสดงให้เห็นเหนือธรรมชาติหลายอย่าง อาทิเช่น
    ๑. ไม่สรงน้ำ
    ๒. เรียกนกมาเกาะมือ
    ๓.มีไฟออกตามตัว
    ๔.คุยกะสัตว์รู้เรื่อง
    ๕.ย่นระยะทาง เป็นต้น
    และอื่นๆอีกมากมาย แต่ท่านสอนไม่ให้ยึดติด ท่านสอนให้ใช้ชีวิตอย่า ประมาท ครับ สาธุ
    อริยสงฆ์ผู้ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบ เพื่อระลึกถึงบุญบารมีคุณงามความดีของพระเกจิอาจารย์ครูบาอาจารย์ แม้ท่านจะล่ะสังขารไปแล้ว แต่คุณงามความดี บารมีธรรมและความศักดิ์สิทธิ์ของท่านยังปรากฎ
    ประวัติหลวงพ่อปี้ วัดคูหาสุวรรณ (วัดลานหอย)
    พระครูสุวิชานวรวุฒิ หรือ (หลวงพ่อปี้ ทินโน) พระเถราจารย์ชื่อดังอดีตเจ้าอาวาสวัดคูหาสุวรรณ (วัดลานหอย) ต.ธานี อ.เมือง จ.สุโขทัย
    หลวงพ่อปี้ เป็น ๑ ใน ๑๐๘ พระเกจิคณาจารย์ทรงวิทยาคมที่ได้รับการนิมนต์เข้าร่วมพิธีพุทธาภิเษกใหญ่ ( 25 พุทธศตวรรษ)
    หลวงพ่อปี้ ทินโน อัตโนประวัติ หลวงพ่อปี้ ถือกำเนิดขึ้นในตระกูล ชูสุข เมื่อวันพุธที่ 15 ตุลาคม 2455 ณ ต.ลานหอย อ.บ้านด่านลานหอย จ.สุโขทัย โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายสังข์ และ นางเย็น ชูสุข คำว่า "ปี้" นั้นหมายถึง เงินตราสมัยโบราณ
    เมื่ออายุ 12 ปี โยมบิดาได้นำบุตรชายไปฝากให้เรียนหนังสือมูลบทบรรพกิจเบื้องต้น ทั้งหนังสือไทยและหนังสือขอมกับ พระอธิการหน่าย เจ้าอาวาสวัดเชิงคีรี อ.บ้านด่านลานหอย ต่อมาอายุ 16 ปี โยมบิดาเสียชีวิตลงจึงต้องกลับมาช่วยเหลือครอบครัว โดยไปรับจ้างเลี้ยงควายและทำนา
    ครั้นอายุครบ 20 ปี ประสงค์จะบวช แต่ไม่มีเงินซื้อผ้าไตร แม่จึงพาไปหา นายโจทย์ เข็มคง กำนันตำบลลานหอยในขณะนั้น ให้ช่วยเป็นเจ้าภาพ โดยแม่ของท่านมีเงินไปร่วมงานบวชเพียง 25 สตางค์เท่านั้น

    จนได้บวชเป็นพระภิกษุสมความปรารถนา เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2465 ณ พัทธสีมา วัดสังฆาราม อ.บ้านด่านลานหอย จ.สุโขทัย โดยมี พระครูวินัยสาร (พระราชประสิทธิคุณ) เจ้าคณะจังหวัดสุโขทัย เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการน้อย เป็นพระกรรมวาจาจารย์
    หลังจากนั้นได้ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดเชิงคีรี อ.บ้านด่านลานหอย สอบนักธรรมชั้นตรีได้เมื่อปี พ.ศ.2475 และได้เรียนวิปัสสนากัมมัฏฐาน และการธุดงค์กับพระอุปัชฌาย์ของท่านที่วัดราชธานี ก่อนที่จะออกจาริกธุดงค์ไปในสถานที่ต่างๆ หลายจังหวัด
    พ.ศ.2481 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดเชิงคีรี พ.ศ.2485 ย้ายมาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดลานหอย และได้รับตราตั้งกรรมวาจาจารย์ พ.ศ.2492 เป็นพระอุปัชฌาย์
    พ.ศ.2496 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรีที่ พระครูสุวิชานวรวุฒิ พ.ศ 2510 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นโท
    เหรียญหลวงพ่อปี้ ทินโนหลวงพ่อปี้ เป็นที่พึ่งทางใจของประชาชนได้เป็นอย่างดี ได้สร้างคุณูปการ ให้แก่พระพุทธศาสนา โดยได้อบรมพระภิกษุสามเณร และอุบาสก อุบาสิกาที่ไปกราบนมัสการในเทศกาลต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นไปในแบบสนทนาธรรมและปริศนาธรรม
    ท่านมีปริศนาธรรมมาก ได้แนะนำให้ประชาชนงดเว้นจากการทุจริต กลับมาประพฤติตนเป็นสุจริตชนได้เป็นจำนวนมาก คนที่มีปัญหา เดือดร้อน ถ้าช่วยได้ท่านก็จะช่วยทันที พร้อมกับให้คติธรรมแนะนำสั่งสอนให้ทำแต่ความดี นอกจากนี้ ได้ให้การอุปถัมภ์การสร้างถาวรวัตถุให้กับวัดในอำเภอ และจังหวัดอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก
    ทุกวันจะมีผู้มากราบนมัสการมากมาย ไม่ว่าใครจะนิมนต์ไปปลุกเสกวัตถุมงคลที่ใด ท่านไม่เคยขัด โดยท่านปลุกเสกไว้หลายรุ่นหลายรูปแบบ เช่น พระเครื่อง เครื่องราง แหวนผ้า ธนบัตรขวัญถุง, ผ้ายันต์รอยเท้า ฯลฯ
    ส่วนจตุปัจจัยที่ได้จากผู้คนเหล่านั้นก็ได้กลายมาเป็นอุโบสถอันงดงาม รวมทั้งหอสวดมนต์ และสิ่งก่อสร้างอันเป็นสาธารณกุศลอีกมากมาย ตลอดชีวิตไม่เคยมีใครเห็นหลวงพ่อปี้สรงน้ำ จนมีเรื่องเล่าลือมากมาย ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่าเนื้อตัวของท่านสะอาดอยู่ตลอดเวลา
    เคยมีคนนมัสการถามเกี่ยวกับการสรงน้ำของท่านว่า "ไม่เห็นหลวงพ่อสรงน้ำ?" ท่านก็ตอบว่า "สรงทุกวัน" ทุกคนในที่นั้นเลยนิ่ง แล้วท่านก็ให้นำน้ำมาหนึ่งถัง ทุกคนเฝ้ามองอย่างไม่ละสายตา ก็ไม่เห็นท่านสรง ได้แต่พูดคุยและเอามือลูบตามเนื้อตัวอยู่ตลอดเวลา
    ทันใดนั้นปรากฏมีน้ำเปียกชุ่มตามตัวของท่าน สร้างความประหลาดใจและตื่นตะลึงแก่ผู้ที่อยู่ ณ ที่นั้นเป็นอย่างยิ่ง! ตามปกติหลวงพ่อปี้เป็นผู้มีจิตใจสุขุมเยือกเย็น ไม่เป็นคนล้าสมัย เพราะท่านคอยฟังข่าวจากวิทยุและหนังสือพิมพ์อยู่เสมอ
    ท่านเคยให้แนวคิดแก่ข้าราชการและนักการเมืองได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีความกตัญญูกตเวทีต่อพระอุปัชฌาย์ (พระราชประสิทธิคุณ) เหมือนบิดาบังเกิดเกล้า ยินดีรับภาระทุกอย่างที่พระอุปัชฌาย์มอบให้
    ท่านมักปรารภกับผู้ใกล้ชิดเสมอว่า อย่ายึดมั่นถือมั่นสิ่งใดเป็นเด็ดขาด และอย่าดำรงตนอยู่ในความประมาท ใครก็ตามที่มากราบและขอของดี ท่านก็จะให้คาถาบทสำคัญ คือ "ระวัง" หรือ "ความไม่ประมาท" นั่นเอง
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญหลวงพ่อปี้หลังพ่อขุนรามคำแหงมหาราช
    ให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250305_063008.jpg IMG_20250305_062943.jpg
     
  4. sunmk

    sunmk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2020
    โพสต์:
    1,278
    ค่าพลัง:
    +1,076
    จองพระหูููยาน
     
  5. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,898
    ค่าพลัง:
    +21,362
    รับทราบครับขอบคุณครับ
     
  6. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,898
    ค่าพลัง:
    +21,362
    FB_IMG_1741135901058.jpg U19575746366613982300012831.jpg
    โกศล.... ลุงไม่เกิดอีกแล้วนะ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย..!!!!”
    นี่ก็หมายความอย่างชัดแจ้งที่สุดว่า พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต (ธมฺมวิตกฺโกภิกขุ)ท่านรู้ชัดด้วยญาณปัญญาของท่านเป็นที่แน่นอนแล้วว่า บัดนี้ การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารแห่งท่าน ได้มาถึงยังจุดอันเป็นที่สุดแล้ว การเกิดครั้งใหม่ต่อไปมิได้มีอีกแล้ว ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของท่านแล้ว
    16_66.jpg
    พระสมเด็จสายรุ้ง วัดศีลขันธ์ สร้างขึ้นโดยท่านเจ้าคุณพระศีลขันธ์โสภณ (สนิท ทองสีนวล) เจ้าอาวาสวัดศีลขันธาราม อ.โพธิ์ทอง จ.อ่างทอง
    โดยท่านเจ้าคุณสนิท เกิดและอุปสมบทที่จังหวัดชลบุรี หลังจากนั้นท่านได้เข้ามาจำพรรษาอยู่ที่วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพ โดยมีท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯ ธัมมวิตกโก เป็นเจ้าอาวาสอยู่ในขณะนั้น ท่านเจ้าคุณสนิทมีความเคารพเลื่อมใสศรัทธาท่านเจ้าคุณนรฯ เป็นอย่างมาก และท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดเทพศิรินทร์เป็นเวลาทั้งสิ้น 11 พรรษา
    จากนั้นท่านเจ้าคุณนรฯ ได้ให้ท่านไปดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดศีลขันธ์ ซึ่งขณะนั้นวัดศีลขันธ์ ชำรุดทรุดโทรมเป็นอย่างมาก ละท่านเจ้าคุณสนิท จึงต้องเร่งหาทุนทรัพย์เพื่อมาทำนุบำรุงเสนาสนะต่าง ๆ ภายในวัด รวมทั้งก่อสร้างถาวรวัตถุต่าง ๆ เพิ่มเติม และก็มีผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคทำบุญจนสำเร็จลุล่วง ท่านเจ้าคุณสนิท จึงสร้างวัตถุมงคลขึ้นเพื่อแจกจ่ายให้แก่ผู้ที่ร่วมทำบุญ รวมทั้งพุทธศาสนิกชนทั่วไป โดยมิได้คิดมูลค่าใด ๆ ทั้งสิ้น นอกจากนี้ ท่านเจ้าคุณสนิท ยังได้มอบวัตถุมงคลชุดนี้แก่วัดต่าง ๆ ที่ขาดแคลนต้องการทุนทรัพย์ในการบูรณะหรือก่อสร้างศาสนสถานต่าง ๆ ภายในวัดเพื่อเป็นการพัฒนาวัดอีกด้วย
    วัตถุมงคลชุดนี้ สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2513 ประกอบด้วย พระสมเด็จสายรุ้ง วัดศีลขันธ์ เป็นหลัก และยังมีพระเนื้อผง และโลหะอีกมากมายนับสิบพิมพ์ โดยวัตถุมงคลชุดนี้ เจ้าคุณนรฯ วัดเทพศิรินทร์ ได้อธิษฐานจิตให้เมื่อปลายปี พ.ศ.2513 ซึ่งเป็นวัตถุมงคลชุดสุดท้ายที่ท่านอธิษฐานจิตก่อนที่จะมรณภาพ
    วัตถุมงคลชุดนี้ มีหลายสิบพิมพ์ เช่น
    พระสมเด็จดำ พระสมเด็จขาว หลังยันต์นูน (ยันต์น้ำเต้า)
    พระสมเด็จสายรุ้ง วัดศีลขันธ์ หลังยันต์นูน (ยันต์น้ำเต้า)
    พระสมเด็จสายรุ้ง หลังเสือ หลังยันต์นูน (ยันต์น้ำเต้า)
    พระสมเด็จนาคปรก 7 เศียร หลังยันต์นูน (ยันต์น้ำเต้า)
    พระสมเด็จปรกโพธิ์ หลังยันต์นูน (ยันต์น้ำเต้า)
    พระผงรูปเหมือน ธัมมวิตกโก หลังยันต์นูน (ยันต์น้ำเต้า)
    เหรียญ ธัมมวิตกโก เนื้อทองแดงกะไหล่ทอง หลังยันต์น้ำเต้า
    ฯลฯ
    พระสมเด็จสายรุ้ง วัดศีลขันธ์ ที่สร้างในปี พ.ศ.2513 นี้ถือเป็น พระสมเด็จรุ่นแรก ของวัดศีลขันธ์ และทันท่านเจ้าคุณนรฯ อธิษฐานจิต ซึ่งทางวัดศีลขันธ์ ได้มีพระสมเด็จรุ่นสอง รุ่นสามออกตามมาด้วย ในปี พ.ศ.2514 และ พ.ศ.2517 โดยที่สร้างขึ้นหลังกาลมรณะของท่านเจ้าคุณนรฯ แต่ใช้มวลสารที่ท่านเจ้าคุณนรฯได้อธิษฐานจิตไว้ให้เมื่อครั้งสร้าง พระสมเด็จสายรุ้ง รุ่นแรก ปี 2513
    หลักการพิจารณา พระสมเด็จสายรุ้ง วัดศีลขันธ์ รุ่นแรก จะสังเกตเบื้องต้นได้ง่าย ๆ จากความสวยงามขององค์พระ โดยพระรุ่นแรก พิมพ์ทรงจะไม่สวยงาม เมื่อเทียบกับ รุ่นสอง รุ่นสาม ซึ่งมีพิมพ์ที่สวยงามเป็นมาตรฐาน รวมทั้งสีของลายสายรุ้ง พระสมเด็นสายรุ้ง รุ่นแรกก็จะไม่มีสีและลายไม่ค่อยจะสวยงามมากนัก สีจะซีดกว่า ไม่ชัดมากนัก
    พระสมเด็จสายรุ้ง รุ่นแรก พระจะบางกว่า ไม่หนาเหมือนพระรุ่นสอง และ รุ่นสาม นอกจากนี้ พระสมเด็จสายรุ้ง วัดศีลขันธ์ รุ่นแรก จะไม่มีการอุดผงใด ๆ ที่ขอบบนและล่างขององค์พระจะไม่มีรอยอุดผง
    และจุดสังเกตที่สำคัญคือยันต์หลังองค์พระ พระสมเด็จสายรุ้ง รุ่นแรก จะต้องเป็นยันต์นูนเท่านั้น ส่วน รุ่นสอง และรุ่นสาม จะเป็นแบบยันต์จม
    เรื่องของอภินิหาร ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ วัดเทพศิรินทร์ฯ ที่ประสบกับ พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ ยุคล
    เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ.2520 ผู้เขียนได้รับบทความมา ชิ้นหนึ่งน่าสนใจมาก นับนานถึงวันนี้เป็นเวลาล่วงมา 43 ปีเข้าไปแล้ว ท่านผู้เขียนท่านนี้ก็ได้ล่วงลับไปแล้ว ครั้งนั้นท่านเมตตาผู้เขียนมาก บทความชิ้นนั้นท่านนิพนธ์ขึ้นเพื่อช่วยผู้เขียนในการจัดทำหนังสือชื่อ พุทธเวทย์ โดยให้ลงเผยแพร่ ก็ได้รับความสนใจจากผู้อ่านมาก หากจะนำมาเสนออีก ท่านผู้อ่านจำนวนมากคงไม่ได้เคยอ่านมาก่อนแน่นอน
    เรื่องนี้ชื่อว่า เรื่องของอภินิหาร นิพนธ์โดย พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ุ ยุคล ผู้เขียนขออนุญาตนำมาเสนอ โดยรวบรัดเนื้อหาให้พอดีกับหน้าหนังสือ ลานโพธิ์ แต่ลีลาสำนวนการเขียนคงอรรถรสเดิมๆ ทั้งสิ้น มีเนื้อความดังต่อไปนี้
    ข้าพเจ้า (พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ุ ยุคล) ได้เคยกล่าวไว้ว่า ความเห็นของข้าพเจ้า เรื่องอภินิหาร นั้นเกิดจากพลังจิตของหลายฝ่าย อาทิเช่น พลังจิตของพระพุทธเจ้า พลังจิตของอาจารย์ และพลังจิตของบุคคลมารวมกันเข้าเป็นพลังรวม และพลังจิตทั้งสิ้นนี้ ส่วนใหญ่เกิดจากการบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งมีหลายวิธีการและหลายลัทธิ แม้แต่พลังของจิตที่เป็นธรรมชาติที่คนบางคนมี แต่ถ้าเป็นกำลังจิตที่แท้จริงแล้วก็ย่อมมีพลังทั้งสิ้น
    แต่ก็อีกนั่นแหละ ดังเช่นที่ข้าพเจ้าได้เขียนไว้แล้วในตอนต้น ของบทเขียนนี้ว่า ถึงแม้จะยังไม่มีข้อที่จะพิสูจน์ให้แน่แท้ว่ามีพลังอย่างไร แม้แต่ว่ามีจริงหรือเปล่าก็ยังยืนยันได้ยาก แต่อย่างไรก็ตามก็ยังไม่มีปราชญ์ หรือมีนักวิทยาศาสตร์ผู้ใดจะพึงกล้ายืนยันว่า พลังจิตนั้นไม่มีจริง และจะเกิดขึ้นไม่ได้เป็นอันขาด
    ข้าพเจ้าจึงจะขอนำเรื่องที่เกิดกับตัวข้าพเจ้าเอง เมื่อไม่กี่ปีมานี้มาเล่าสู่กันฟัง ซึ่งเป็นเรื่องที่ จะพิสูจน์ จะวิจัยกันได้หลายทาง สุดแล้วแต่ท่านผู้อ่านจะนึกคิดวิจัยกันเอง
    เมื่อไม่กี่ปีมานี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้ข้าพเจ้าไปเป็นผู้แทนพระองค์ ในงานฉลอง 2500 ของวันที่พระเจ้าไซรุสมหาราช ทรงรวมจักรวรรดิเปอร์เซีย (อิหร่าน) ขึ้น งานเฉลิมฉลองนี้ พระเจ้าซาร์อิหร่านองค์ปัจจุบัน ทรงจัดให้มีการฉลองเฉลิมขึ้นที่เมืองเพอเซพโพลิส (เมืองโบราณ) ซึ่งเป็นการฉลองที่มโหฬาร ที่ทั้งองค์ประมุขและประมุขประเทศแทบทุกประเทศในโลก ได้รับเชิญ และจะไปประชุมกันในโอกาสนั้น
    ก่อนกำหนดวันเดินทางของข้าพเจ้าหนึ่งวัน ซึ่งมีกำหนดจะต้องออกเดินทางเวลาเที่ยงของวันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้าเกิดป่วยเป็นไข้หวัดอย่างแรง ไข้สูงมาก จนมิสามารถจะยืนทรงตัวได้ อีกทั้งยังไอโขลกๆ อยู่มิได้ขาด จนเจ็บไปทั่วอก แพทย์ผู้รักษาทั้งที่พยายามที่จะรักษาให้ข้าพเจ้าค่อยยังชั่วให้ไปได้ก็ยอมแพ้ โดยบอกกับข้าพเจ้าว่า เนื่องจากสภาพของไข้ข้าพเจ้าในขณะนั้น จะเดินทางโดยเฉพาะไปในงานเฉลิมฉลองที่ใหญ่โตเช่นนั้นไม่ได้เป็นอันขาด
    ข้าพเจ้ากลุ้มและปั่นป่วนใจเป็นที่สุด เพราะว่าจะต้องทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องทรงลำบากพระราชหฤทัยเป็นอย่างยิ่ง โดยจะต้องทรงหาตัวแทนข้าพเจ้า ซึ่งภายในไม่ถึง 24 ชั่วโมง จะสามารถเตรียมตัวทัน โดยเฉพาะในงานนี้จะมีการเลี้ยงและการแต่งกายเต็มยศกันแทบทุกวันตลอดอาทิตย์หนึ่ง
    ข้าพเจ้าตระหนักดีว่า สำหรับข้าพเจ้านั้นมีแต่ทางที่จะเสีย จะกราบทูลว่าไปไม่ได้ก็เสีย จะไม่กราบทูลก็เสีย เวลานั้นเป็นเวลาค่ำโพล้เพล้ ด้วยไข้และด้วยความปั่นป่วน ความกลุ้มใจ ข้าพเจ้าล้มตัวลงนอน แต่ไม่ทราบว่าอะไรที่มาดลใจข้าพเจ้าให้คิดว่าจะไม่มีทางอื่นแล้วที่อาจช่วยได้ นอกจากจะใช้พลังจิต และข้าพเจ้าเคยทำวิปัสสนาอยู่บ้าง แต่ก็มิใช่อยู่ในฐานะของผู้ที่แก่กล้าในทางวิปัสสนา
    ข้าพเจ้าแข็งใจนึกขอให้บรรดาอาจารย์ผู้ที่ศักดิ์สิทธิ์ขอให้เมตตากรุณาต่อข้าพเจ้าด้วยเถิด แล้วสะกดจิตกำหนดลมหายใจให้นิ่งได้แล้ว ก็จำอะไรอีกไม่ได้ มารู้สึกตัวในฝันว่า ข้าพเจ้าแหงนคอมองขึ้นไปทางหัวเตียงนอน ได้เห็นพระองค์หนึ่งสีจีวรเหลืองอร่ามชัด แต่ใบหน้าของท่านนั้นเป็นหิน หินที่มีสีคล้ายๆ ตอนสีอ่อนของสีดอกพิกุล
    ท่านประทับลอยอยู่เหนือหัวนอน และทันทีที่ข้าพเจ้าเพ่งมองพระพักตร์หินนั้น กระดุกกระดิกได้เหมือนหน้าคนธรรมดา และเป็นตอนที่ข้าพเจ้าจำได้ว่า พระองค์นั้นคือ ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ วัดเทพศิรินทร์ ซึ่งเพิ่งได้สละสังขารไปแล้วเมื่อไม่นานมา
    ในฝันนั้นข้าพเจ้าลุกขึ้นนั่งกราบท่าน แล้วออกปากทักว่า เจ้าคุณ ท่านยิ้มแล้วกลับนิ่งเฉย ต่อครู่ใหญ่ท่านจึงเอ่ยขึ้นว่า ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นของธรรมดา ก็รู้ (ข้าพเจ้า) อยู่แล้ว
    เจ็บไข้นี้มีทางเดียวที่จะมีทางบรรเทาได้ คือด้วยพลังจิตท่านก็รู้ จิตท่านแข็งจึงต้องมา ท่านกล่าวเบาๆ ช้าๆ เป็นตอนๆ เหมือนจะสั่งสอน แล้วท่านก็หยุดไปครู่หนึ่ง แล้วท่านก็กล่าวขึ้นอีกพร้อมกับยิ้มน้อยๆ และด้วยน้ำเสียงของคนธรรมดาว่า อย่าวิตกเลย บรรทมให้สบายเถิด พรุ่งนี้จะหายประชวรแล้วเสด็จได้
    ข้าพเจ้าตื่นขึ้น ปรากฏว่ายังหงายหน้ามองที่เหนือเตียง และรู้สึกว่ายังเห็นจีวรเหลืองๆ หายแว่บไป แต่กำลังไม่สบายมากจึงนึกเพียงว่าฝันไป แล้วหลับผล็อยไป ต่อเมื่อตอนดึกค่อนรุ่งข้าพเจ้าตื่นขึ้นปัสสาวะรู้สึกว่า อาการปวดหัวเมื่อยร่างและอาการอ่อนเพลียนั้นค่อยยังชั่วขึ้น รู้สึกแปลกใจ แต่นึกว่าอาการที่ปรากฏค่อยยังชั่วนี้เป็น มโนภาพ และอาจเป็นภาวะหลอนของตัวข้าพเจ้าเองว่าสบายขึ้น จึงหลับตานอนกำหนดจิตต่อไปจนไม่รู้สึกตัว
    ต่อเช้าประมาณ 7 โมงจึงตื่นขึ้น อาการไข้ทุกอย่างทุกประการหายสิ้น แม้แต่การไอโขลกๆ ที่ถี่และแรงก็หายสิ้นไม่ไอเลย และพอถึง 12 นาฬิกา ข้าพเจ้าก็ออกเดินทางจากดอนเมือง เหมือนกับคนที่หายเจ็บแล้ว คงแต่รู้สึกเพลียบ้างเล็กน้อย เมื่อไปถึงประเทศอิหร่านก็เข้าไปร่วมฉลองงานทุกงาน โดยเฉพาะที่เมืองเพอเซพโพลิส ซึ่งตั้งอยู่บนเขาสูงมาก จึงทั้งหนาวทั้งหายใจยาก ด้วยมีออกซิเจนน้อย ข้าพเจ้าได้ตรากตรำกลางแดดกลางความหนาวทุกวัน บางวันไปงานตั้งแต่เช้าจนตีหนึ่ง
    เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงและประหลาดที่เกิดกับตัวข้าพเจ้าเอง ท่านจงเลือกพิสูจน์และเลือกเชื่อเอาเองเถิด ว่าจะเป็นเรื่องของอภินิหารหรือเรื่องธรรมดาๆ เพราะว่าพอข้าพเจ้ากลับมาก็ได้ไปซักถามนายแพทย์ผู้นั้นบอกว่า เป็นเรื่องที่ข้าพเจ้ารักษาตัวของข้าพเจ้าเอง เพราะความแน่วแน่และพลังจิตนั้น ทำให้ส่วนกลไกต่างๆ ของร่างกายของข้าพเจ้าต่อสู้กับโรค และต่อสู้กับความรู้สึกของข้าพเจ้าจนชนะและหายไข้ชนิดที่ยาอาจทำไม่ได้ แต่แพทย์ก็ย่อมทราบกันดีว่า พลังจิตของคนไข้นั้นถ้าแข็งหรือพูดง่ายๆ ว่าคนไข้สู้ไข้แล้ว ย่อมเป็นพลังที่จะช่วยให้หมอรักษาโรคให้หายได้ดีกว่าคนไข้ที่ไม่สู้
    ข้าพเจ้าสนใจในเรื่องนี้ จึงได้คอยติดตามฟังและอ่านเรื่องเช่นนี้ในวงการแพทย์ต่อมาเสมอๆ เมื่อไม่นานมานี้ได้อ่านบทเขียนของนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางโรคมะเร็ง ชาวอเมริกันเขียนเรื่องพลังจิต และเรื่องการให้คนไข้ทำวิปัสสนาเพื่อช่วยรักษาโรค เขาว่าเขาแนะนำกับคนไข้ที่เป็นโรคที่มีทางหายาก เช่น มะเร็ง ให้ทำวิปัสสนาและใช้พลังจิตช่วย เขารักษาโรค เขายืนยันว่าการกระทำดังกล่าวเขาได้ผลดีอย่างน่าพิศวง คนไข้บางรายหายได้อย่างไม่น่าที่จะเป็นไปได้เลย และเป็นที่น่าประหลาดว่านายแพทย์ผู้นั้นมิได้นับถือพระพุทธศาสนา แต่เขาก็เอาวิธีการและพระธรรมหรือคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เขาเชื่อมาใช้เป็นผล เช่นก่อนอื่นเขาจะเริ่มสอนคนไข้ไม่ให้กลัว โดยชี้แจงว่าความตายเป็นของธรรมดา ทุกคนจะเลี่ยงไม่ได้ สังขารเป็นส่วนที่ประกอบขึ้นย่อมจะต้องเสื่อมสลาย เหมือนวัตถุและธาตุทั้งหลายทั้งปวง เมื่อคนไข้พอจะเข้าใจและบรรเทาความกลัวบ้าง เขาก็เริ่มสอนให้คนไข้ทำวิปัสสนา
    บทเขียนทั้งสิ้นนี้เป็นเรื่องหนึ่งที่ข้าพเจ้าเชื่อ เพราะว่าข้าพเจ้าได้ประสบการณ์ หรือได้เกิดขึ้นกับตัวข้าพเจ้าเอง และข้าพเจ้าเชื่อว่าเป็นเรื่องของพลังจิตของสมเด็จพระบรมศาสดา และพลังจิตของ ท่านธรรมวิตตโกมหาเถระเจ้าคุณนรรัตน์ และพลังจิตที่ต่ำต้อยของข้าพเจ้า แต่ก็พอมีพลังเพียงพอที่จะรับอานุภาพพลังจิตอื่นที่ใหญ่ยิ่งได้
    บทความของท่าน พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ุ ยุคล หรือที่ในวงการภาพยนตร์เรียกท่านว่า เสด็จองค์ชายใหญ่ มีความน่าสนใจมาก เพราะเป็นเหตุการณ์จริงที่ท่านประสบมาด้วยพระองค์เอง ทรงได้นิพนธ์เอาไว้ให้ผู้เขียน นอกจากบทความนี้ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่ทรงนิพนธ์ให้ผู้เขียนไว้จะได้นำมาเสนอในโอกาสต่อไป
    แฉ่ง บางกะเบา
    1389026-5074a.jpg
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาทุกๆท่านทุกๆข้อมูลครับ

    พระสมเด็จสายรุ้งเจ้าคุณนรวัดศีลขันธ์ ๒ องค์คู่กัน
    ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)
    IMG_20250305_073107.jpg IMG_20250305_073126.jpg IMG_20250305_073219.jpg IMG_20250305_073242.jpg IMG_20250305_073144.jpg IMG_20250305_073204.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มีนาคม 2025 at 09:53
  7. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,898
    ค่าพลัง:
    +21,362
    พระชุดนิตยสารศักดิ์สิทธิ์
    1. เหรียญพระสมเด็จชินบัญชรศักดิ์สิทธิ์
    จัดสร้างโดยนิตยสารศักดิ์สิทธิ์เนื้อทองแดงผิวไฟ ปี 2536ทำพิธีปลุกเสกใหญ่ที่วัดระฆังโฆสิตาราม กทม.
    และวัดอินทรวิหาร( บางขุนพรหม ) กทม.
    พระอาจารย์ประจวบวัดระฆังโฆสิตาราม
    ท่านพระครูปลัดวิจิตรและเจ้าอาวาสวัดเกศไชโยอธิษฐานจิตอัญเชิญดวงวิญญาณสมเด็จโตแผ่บารมีประทับ
    เข้าพิธีเดียวกับการปลุกเสกหลวงพ่อทวด
    วัดประสาทบุญญาวาส กทม.พร้อมทั้งได้อาจารย์นอง วัดทรายขาวร่วมพิธีปลุกเสก เหรียญดี พิธีดี น่าบูชาเหรียญนี้ได้นำเข้าร่วมพิธีปลุกเสกในพิธีเสาร์ 5 ปี 2536
    นับตั้งแต่โบราณกาลมาวันเสาร์ ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๕ถือกันว่าเป็นวันที่ศักดิ์สิทธิ์มีพลังอำนาจโดยธรรมชาติซึ่งในรอบหลายๆปี
    จึงจะเวียนมาบรรจบสักครั้งโบราณจารย์จึงนิยมใช้เป็นวันมหามงคลฤกษ์ทำการปลุกเสกวัตถุมงคลให้เข้มขลังด้วยพระพุทธคุณวัดระฆังโฆสิตาราม
    จึงได้สร้างสมเด็จเสาร์ห้าขึ้นเป็นครั้ง แรกเมื่อวันเสาร์ที่ ๒๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๖
    ตรงกับวันทางจันทรคติของไทยคือวันเสาร์ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๕ ปีระกาจัตวาศก จุลศักราช ๑๓๕๔ พระคณาจารย์จากทั่วประเทศนั่งปรกอธิษฐานปลุกเสก
    ณ. พระอุโบสถวัดระฆังโฆสิตาราม กทม.
    ( จากข้อมูลในหนังสือของดีวัดระฆัง )หลังจากที่ทางวัดเปิดให้ประชาชนเช่าบูชาได้หมดลงในเวลาอันรวดเร็ว
    และเป็นที่ต้องการของผู้เลื่อมใสศรัทธาเป็นจำนวนมากอีกทั้งมีผู้นำไปบูชามีประสบการณ์มากมายพุทธคุณเมตตามหานิยมแคล้วคลาดปลอดภัยดีมีครบครอบจักวาลทุกอย่างครับ

    2.พระผงสมเด็จอกครุฑเศียรบาตร
    รุ่นรวมพลังอิทธิมหาอำนาจเหนือฟ้าเหนือดิน ปี 2537นิตยสารศักดิ์สิทธิ์จัดสร้าง
    เนื้อผงผสมผงเก่าวัดระฆังโฆสิตารามและมวลสารศักดิ์สิทธิ์มากมายปลุกเสกโดยพระเกจิอาจารย์ชื่อดังในยุคนั้นมากมาย
    ๒ องค์

    ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250305_093749.jpg IMG_20250305_093822.jpg IMG_20250305_093851.jpg IMG_20250305_093918.jpg IMG_20250305_093945.jpg
     
  8. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,898
    ค่าพลัง:
    +21,362
    วันนี้จัดส่ง
    1741184470719.jpg
    ขอบคุณครับ
     
  9. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,898
    ค่าพลัง:
    +21,362
    18198545_10212958316862334_5655849303290563126_n (1).jpg
    สมเด็จหลวงพ่อสัมฤทธิ์ รุ่นแรก ปี๒๕๑๗ พิมพ์คะแนนวัดไผ่เงินโชติวนารามกรุงเทพฯ
    หลวงบริบาลบุรีภัณฑ์ หัวหน้ากองพิพิธภัณฑ์และโบราณวัตถุ กระทรวงธรรมการในขณะนั้น ได้ทำการสืบประวัติหลวงพ่อสัมฤทธิ์ ทราบแต่เพียงว่าเป็นพระพุทธรูปสมัยสุโขทัยตอนปลายต่ออยุธยา ในสมัยของพระบามสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ พระยาโชฏิกราช (เจ้าสัวบุญมา) ข้าหลวงเดิมของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นผู้ทำการปฎิสังขรณ์วัดพระยาไกร เสร็จแล้วจึงน้อมถวายเป็นพระอารามหลวง สถาปนาขึ้นเป็นพระอารามหลวงนามว่า "วัดโชตนาราม" ได้อัญเชิญหลวงพ่อสัมฤทธิ์ มาประดิษฐานไว้ในอุโบสถ พระสงฆ์อยู่ไม่ได้พากันทิ้งวัดจึงกลายเป็นวัดร้าง
    ปลายสมัยรัชกาลที่ ๕ ทางการได้พิจารณาแล้วว่าให้บริษัท อิสเอเซียติคจำกัด เช่า สถานที่ตั้งของวัดทั้งหมดเป็นที่ตั้งของโรงเลื่อยจักร มีสภาพวัดปรักหักพังทรุดโทรมไปมาก ทางคณะสงฆ์จึงมี บัญชาให้ทางวัดไผ่เงินโชตนารามไปอัญเชิญพระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์ ไปประดิษฐาน ณ วัดไผ่เงินโชตนาราม เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร และได้ถวายนามว่า หลวงพ่อสัมฤทธิ์ เนื่องจากองค์พระทำ ด้วยสัมฤทธิ์แก่เงิน มีส่วนผสมของเงินมาก ก่อนที่กรมศาสนาจะแจกพระพุทธรูปที่ค้างอยู่ในวัดพระยาไกร ซึ่งขณะนั้นเป็นวัดร้างให้มาประดิษฐาน ณ วัดไผ่เงิน ในปี ๒๔๘๓ โดยหลวงพ่อศรีเจ้าอาวาสในขณะนั้นได้เลือกหลวงพ่อสัมฤทธิ์ด้วยมีพุทธลักษณะสมบูรณ์ ในขณะที่พระสุโขทัยไตรมิตรมีรอยร้าว จากไหลถึงเอว
    มีการปิดทองหลวงพ่อสัมฤทธิ์ทั้งองค์อีกครั้งในช่วงฉลองกรุงรัตนโกสินทร์สองร้อยปี พ.ศ. ๒๕๒๕ หลวงพ่อสัมฤทธิ์เป็นที่เคารพกราบ ไหว้ของประชาชนในย่านนั้น เจ้าอาวาสกล่าวว่า ท่านสามารถสร้างวัดไผ่เงินขึ้นมาได้ก็ด้วยบารมีของหลวงพ่อสัมฤทธิ์ ด้วยเหตุนี้จึง ประดิษฐานไว้ในพระวิหารแทนที่จะเป็นพระอุโบสถเพื่อสะดวก แก่ประชาชนที่ต้องการเข้ามากราบไหว้บูชา และในวันขึ้นปีใหม่ของ ทุกปีจะมีงิ้วแสดงตลอด ๓ วัน ๓ คืน จนกลายเป็นประเพณีที่ถือปฏิบัติต่อกันมา พระครูสิริธรรมสุธีหรือหลวงปู่สี เป็นพระเถระที่มีข้อวัตรปฏิบัติเคร่งครัดตามหลักพระธรรมวินัย ดำรงชีวิตแบบเรียบง่ายไม่สนใจในลาภยศ มีอุปนิสัยที่จริงจังต่อการงาน และเป็นพระเถระที่มี
    ความเมตตากรุณาต่อสาธุชนทั้งหลาย หลวงปู่สียังเป็นผู้ที่อัญเชิญองค์หลวงพ่อสัมฤทธ์ มาจากวัดพระยาไกร ซึ่งเป็นวัดร้างและเป็นวัดดั้งเดิมของหลวงพ่อสัมฤทธ์และหลวงพ่อทองคำแห่งวัดไตรมิตร ที่โด่งดังไปทั่วโลก มาประดิษฐานยังวัดไผ่เงินโชตนารามจวบจนถึงปัจจุบัน
    หลวงหลวงปู่สีท่านมักจะนิยมปลุกเสกเดี่ยว นอกจากถ้ามีงานสำคัญๆท่านจึงจะนิมนต์พระเกจิจากที่อื่นมาร่วมปลุกเสกด้วย แต่ก็หาได้น้อยรุ่นมากครับที่จะเสกแบบหมู่การปลุกเสกของท่านแต่ละครั้งก็จะไม่ค่อยเหมือนพระเกจิองค์อื่นๆ เพราะท่านจะปลุกเสกอยู่ในโบสถ์เป็นเวลา7วัน7คืนโดยจะไม่ออกมาจากโบสถ์เลยจนกว่าจะสำเร็จในการเสก ท่านจะสั่งให้ลูกศิษย์ปิดประตูโบสถ์ทั้งหมดและกำชับว่าไม่อนุญาติให้ใครเข้ามารบกวนโดยเด็ดขาดในขณะทำพิธีตลอด7วัน

    FB_IMG_1724768997387.jpg

    หลวงพ่อสี ยโสธโร อดีตเจ้าอาวาสวัดไผ่เงินโชตนาราม เป็นพระเถระที่มีข้อวัตรปฏิบัติเคร่งครัดตามหลักธรรมวินัย ดำรงชีวิตแบบเรียบง่าย ไม่ทะเยอทะยานในลาภยศ มีอุปนิสัยที่จริงจังต่อการงานและปฏิบัติตนตามสมณวิสัย แต่ก็เป็นพระเถระที่เปี่ยมไปด้วยเมตตาคุณกรุณาคุณต่อท่านที่ได้พบเห็น ดังนั้นหลวงปู่สี ยโสธโร จึงเป็นพระเถระที่เป็นปูชนียบุคคลแก่เหล่าพระภิกษุ สามเณรในการดูแลปกครอง และพุทธศาสนิกชนทั่วไป
    --------------------------------
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างส่งครับ

    พระสมเด็จหลวงพ่อสัมฤทธิ์วัดไผ่เงินรุ่น ๒ พิมพ์คะแนนหลวงปู่สีปลุกเสก ปี๒๕๑๗
    ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    IMG_20250307_002310.jpg IMG_20250307_002344.jpg
     
  10. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,898
    ค่าพลัง:
    +21,362
    S__78495754ก.jpg

    หลวงปู่มั่น ทัตโต เกิดที่บ้านจิกก่อ ในเขตอําเภอวารินชําราบ จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อ พ.ศ.2420 จึงนับอายุได้ 101 ปี ในพ.ศ. 2521 นี้

    หลวงปู่มั่น มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันรวม 8 คน หลวงปู่เป็นคนโต น้องชายคนที่ 4 ของ หลวงปู่ ซึ่งชื่อ บุญมา ขณะนี้ ก็บวชเป็นพระอยู่กับหลวงปู่ และได้ติดตามหลวงปู่ไปไหนมาไหนอยู่ตลอดเวลา ในขณะนี้ก็มีอายุนับได้ถึงปีนี้ 75 ปีแล้ว ส่วนน้องคนสุดท้องก็ยังมีชีวิตมี อายุกว่า 60 ปีแล้ว

    หลวงปู่มั่น ทัตโต บรรพชาเป็นสามเณร เมื่ออายุได้ 15 ปี ครั้นอายุครบเกณฑ์ ก็ถูกเกณฑ์เป็นทหารจึงต้องลาสิกบท เพื่อไปรับราชการทหาร รวม 2 ปี ครั้นเมื่อได้ปลดประจําการมาแล้ว ก็ได้อุปสมบท เมื่ออายุได้ 23 ปี จนถึงปัจจุบันนี้ นับได้นานเกือบ 80 พรรษาแล้ว นับได้ ว่าเป็นพระภิกษุสงฆ์ ที่มีอายุยืนยาว และพรรษากาลสูงมากยิ่งองค์หนึ่งในปัจจุบันนี้ และมีลูกศิษย์ลูกหาเคารพนับถือ มากมายทั่วประเทศไทยหลวงปู่มั่น ทัตโต เคยบอกเล่าว่าตัวท่านกับท่าน ภูริทัตโตมหาเถระ หรือ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต นั้นเป็นเพื่อนกันมาแต่เยาว์วัยแม้กระทั่งเมื่ออยู่ในสมณเพศ ก็ได้เคยธุดงค์มาพบกันบ่อยๆได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้กัน บางตามธรรมดาของสหายทางธรรม ซึ่งหลวงปู่มั่น ทัต โต ก็ได้กล่าวชมเชยว่า หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต นั้นท่านมีความรู้ความสามารถทางด้านการเผยแพร่ธรรมมะสูงยิ่ง ความสําเร็จทางด้านญาณสมาธิของท่านที่ยอดเยี่ยม

    พระอาจารย์ของ หลวงปู่มั่น ทัตโต นั้นท่านได้เปิดเผยว่า คือ พระอาจารย์กอง วัดศรีจันทราราม อ.วารินชําราบ จ.อุบลราชธานี หลังจากที่ได้ศึกษาธรรมจนแตกฉานแล้ว ก็ได้ฝึกอบรมวิปัสสนากรรมฐาน จนมีความชํานาญแล้ว ก็ได้ออกธุดงค์ พร้อมกันนั้นก็ศึกษาในด้านวิชาไสยศาสตร์ไปด้วย เมื่อได้ฝากตัวเป็นศิษย์ ของอาจารยไสยศาสตร์ ชื่อดังในยุคนั้น อาจารย์ได้ให้ ถือสัจจะขอหนึ่ง คือการไม่เป็นลอดสะพาน หรือลอดกอาคาร ที่สูงตั้งแต่สองชั้นขึ้นไป รวมทั้งมีให้ขึ้นยานพาหนะที่มีหลังคาเป็นที่บันทุกของ หรือคนนั่งได้และหามแม้กระทั่งการเดินลอดสะพานที่มีโครงเหล็ก หรือ โครงไม้อยู่ข้างบนนั้นด้วย สัจจะข้อนี้ หลวงปู่มั่น ทัตโต บอกว่าได้เริ่มปฏิบัติมาตั้งแต่ พ.ศ. 2435 มาจนถึงบัดนี้หลวงปู่มั่น ทัตโต มีปฏิปทาเป็นที่น่าเคารพเลื่อมใส ถือสันโดด และสมถะไม่สะสมทรัพย์สมบัติใด แต่ก็มิได้ละเลยต่องานพัฒนาวัดวาอาราม หรือเสนาสนะสงฆ์นั้น ท่านก็ได้สร้างมาแล้ว อย่างเช่นวัดบ้านบก ต.โนนโหนน อ.วารินชําราบ จ.อุบราชธานี นั้นท่านก็ได้ยพัฒนามา แต่ พ.ศ. 2460 จนเจริญรุ่งเรื่อง และมีเสนาสนะสงฆ์ที่สวยงาม โดยมิได้บอกบุญชาวบ้านเลย เพียงแต่ทานนั่งเป่ากระหม่อม และประพรมน้ำพระพุทธมนต์ให้แก่ผู้ที่ไปกราบไหว้ ขอศีลขอพรจากท่าน เพียงชั่วเวลาไม่กี่ปีก็มี ผู้ร่วมกันบริจาคปัจจัยให้เป็นเงินล้าน ในสมัยนั้นซึ่งนับว่า เป็นปาฏิหาริย์ที่น่าอัศจรรย์ ว่าการลงกระหม่อม หรือลงน้ำมันจากท่านนั้น จะปรากฏผลทางด้านแคล้วคลาด หรือยงคงกระพันชาตรี เป็นที่น่าพึ่งจริงๆ ทางด้านที่ว่า “เมตตา มหานิยม” นั้น หลวงปู่มั่น ทัตโต ก็ได้ชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ทางด้านนี้ เป็นหนึ่งในพุทธจักร แต่ท่านก็ สอนประดาศิษย์อยู่เสมอว่า อย่าถือว่าเป็นลูกศิษย์ท่านก็จะเก่งทุกคน คนจะเก่งไม่เก่งก็อยู่ที่การประพฤติปฏิบัติของตนเอง ประพฤติดี ปฏิบัติดี ที่ชื่อว่าเก่งและมีความดีความเจริญรุ่งเรือง ตรงกับข้าม ถ้าประพฤติชั่ว ปฏิบัติชั่ว ก็จะได้ชื่อว่า เป็นคนโฉด ที่เลวทราม จะได้รับแต่ความ ทุกข์ความทรมาน และต้องชดใช้กรรมทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ซึ่งก็เท่ากับว่าท่านสอนว่า ทําดี ได้ดี ทําชั่วก็ได้ชั่ว ตรงตามพุทธวัจนะ นั่นเองในสมัยที่ หหลวงปู่มั่น ทัตโต เดินธุดงค์อยูตามป่าตามเขานั้น หลวงปู่บอกว่าได้เคยผจญกับความยากลําบากและภยันตรายร้อยแปด แต่หลวงปู่มั่น ทัตโต ได้ผ่านพ้นนอุปสรรคและภยันตราย เหล่านั้น มาได้ด้วยสมาธิอันแน่วแน่ และอาคมอันศักดิ์สิทธิ์ พิชิตภูตผีปีศาจและมารร้ายต่างๆ

    การเดินธุดงค์ในสมัยนั้น ต้องบุกป่าฝ่าดงดิบที่ไม่เห็นแสงเดือนแสงตะวัน และเต็มไปด้วยความขึ้นแฉะและสัตวที่ ดุร้ายมีอันตรายทั้งเล็กจิ๋ว อย่างตัวทาก ไปจนถึงใหญ่เท่า ช้าง แต่ก็เป็นที่น่าแปลกใจ ที่สัตว์เหล่านั้น มิได้มาทำร้ายกรายกีด หลวงปู่มั่น แม้แต่น้อย ตรงกันข้าม สัตวใหญ่ๆ ที่ ดุร้ายอย่างเสือ หรือช้าง กลับมาหมอบเฝ้า เหมือนหนึ่งจะคอยให้การอารักขาแก่หลวงปู่มั่น ทัตโตเสียด้วยซ้ำไป บางครั้งหลวงปู่ก็ต้องเสกใบไม้ฉันต่างอาหารเพราะธุดงค์อยูในป่าจะหาบ้านเรือนผู้คนไม่พบเลยสักหลังคากะต๊อปเดียว

    เมื่อ พ.ศ. 2460 หลวงปู่มั่น ทัตโต ได้รับอาราธนามาจําพรรษาที่วัดบ้านบก ต.โนนโหนน อ.วารินชําราบ ที่มีหลวงปู่ได้พัฒนาถาวรวัตถุ ซึ่งเป็นเสนาสนะสงฆไว้มากจน เรียกได้ว่า มีความเจริญรุ่งเรืองมาจนถึงทุกวันนี้ ครั้นได้พัฒนาวัดนี้ได้สําเร็จแล้ว หลวงปู่กออกธุดงค์ต่อไปอีกวัดหนึ่ง ที่หลวงปู่รับอาราธนาไปอยู่จําพรรษาในระยะหลังที่มีอายุเกิน 80 ปีแล้ว ก็คือวัดบ้านค้อ ต.ดงประดิษฐ์ อ.เดชอุดม จ.อุบลราชธานี แต่อยู่ได้ไม่นานท่านก็เบื่อชาวบ้านย่านนั้น มีจิตใจโหดร้ายต่อสัตว์ป่าท่านจึงมีความตั้งใจที่จะกลับไปอยู่วัดบ้านบก ก็พอดีมีชาวบ้านอีกแห่ง มานิมนต์ให้ท่านไปช่วยสร้างวัดขึ้นที่หมู่บ้านซึ่งมีอยู่เพียงไม่กี่หลังคาเรือน ท่านก็รับอาราธนาด้วยดี ปรากฏว่าเมื่อได้ตั้งวัดขึ้นในหมู่บ้านนี้ ก็มีชาวบ้านหมู่อื่นๆ มาสมทบด้วยอีกมิ น้อย จนทําให้หมู่บ้าน “ทุ่งเต้น” เจริญขึ้นอย่างรวดเร็วมีบ้านเรือนหนาแน่น หลวงปู่ จึงได้เปลี่ยนชื่อเสียใหม่เพื่อให้เป็นมงคลนามว่า บ้านโนนเจริญ วัดที่ท่านสร้างขึ้นจึงได้ ชื่อว่า วัดบ้านโนนเจริญ ปัจจุบันรอบๆ หมู่บ้านแห่งนี้มีผู้ก่อการร้ายอยู่มาก การเข้าออกไปมาหาสู่กับหลวงปู่เป็นไปได้ยากลําบาก แต่สําหรับหลวงปู่นั้น ผู้ก่อการร้ายต้องยอมจํานน เพราะไม่สามารถที่จะคิดร้ายต่อหลวงปู่ได้สําเร็จ

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ลูกอมหลวงปู่มั่นทัตโตด้านในเป็นสีผึ้งปิดทองใส่รูปถ่ายภาษาอีสานเรียกนวด เป็นเมตตามหานิยม ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250307_004208.jpg IMG_20250307_004122.jpg
     
  11. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,898
    ค่าพลัง:
    +21,362
    พระสมเด็จคะแนน หลังตราแผ่นดิน วัดอรุณราชวราราม (วัดแจ้ง) กรุงเทพฯ ปี 2509 พ่อท่านคล้าย, หลวงปู่นาค, หลวงพ่อเงิน, หลวงพ่อเต๋, หลวงพ่อเนื่อง ร่วมปลุกเสก
    พระพิมพ์คะแนน ขนาดองค์พระ 1.5 x 2 ซม.
    วัดอรุณราชวรารามเป็นวัดโบราณ สร้างในสมัยอยุธยา ว่ากันว่าเดิมเรียกว่า วัดมะกอก และกลายเป็นวัดมะกอกนอกในเวลาต่อมา เพราะได้มีการสร้างวัดขึ้นอีกวัดหนึ่งในตำบลเดียวกัน แต่อยู่ในคลองบางกอกใหญ่ ชาวบ้านเรียกวัดที่สร้างใหม่ว่า วัดมะกอกใน (วัดนวลนรดิศ) แล้วจึงเรียกวัดมะกอกซึ่งอยู่ปากคลองบางกอกใหญ่ว่า วัดมะกอกนอก ส่วนเหตุที่มีการเปลี่ยนชื่อเป็นวัดแจ้งนั้น เชื่อกันว่า เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงตั้งราชธานีที่กรุงธนบุรีใน พ.ศ. 2310 ได้เสด็จมาถึงหน้าวัดนี้ตอนรุ่งแจ้ง จึงพระราชทานชื่อใหม่ว่าวัดแจ้ง แต่ความเชื่อนี้ไม่ถูกต้อง เพราะเพลงยาวหม่อมภิมเสน วรรณกรรม สมัยอยุธยาที่บรรยายการเดินทางจากอยุธยาไปยังเพชรบุรี ได้ระบุชื่อวัดนี้ไว้ว่าชื่อวัดแจ้งตั้งแต่เวลานั้นแล้ว เมื่อสมเด็จพระเจ้ตากสินมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชวังที่ประทับนั้น ทรงเอาป้อมวิชัยประสิทธิ์ข้างฝั่งตะวันตกเป็นที่ตั้งตัวพระราชวัง แล้วขยายเขตพระราชฐานจนวัดแจ้งเป็นวัดภายในพระราชวัง เช่นเดียวกับวัดพระศรีสรรเพชญ์สมัยอยุธยา และเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต ที่อัญเชิญมาจากเวียงจันทน์ใน พ.ศ. 2322 ก่อนที่จะย้ายมาประดิษฐานที่วัดพระศรีรัตนศาสดารามใน พ.ศ. 2327 ในสมัยรัตนโกสินทร์ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ได้เสด็จมาประทับที่ พระราชวังเดิม และได้ทรงปฏิสังขรณ์วัดแจ้งใหม่ทั้งวัด แต่ยังไม่ทันสำเร็จก็สิ้นรัชกาลที่ 1 สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ เป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระองค์ได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดแจ้งต่อมา และพระราชทานนามใหม่ว่า “วัดอรุณราชธาราม” ต่อมามีพระราชดำริที่จะเสริมสร้างพระปรางค์หน้าวัด ให้สูงขึ้น แต่สิ้นรัชกาลเสียก่อน จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้เสริมพระปรางค์ขึ้นและให้ยืมมงกุฎที่หล่อ สำหรับพระพุทธรูปทรงเครื่องที่จะเป็นพระประธานวัดนางนองมาติดตอบนยอดนภศูล ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์วัดอรุณราชธาราม หลายรายการ และให้อัญเชิญพระบรมอัฐิของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยมาบรรจุไว้ที่พระพุทธอาสน์ของพระประธานในพระอุโบสถด้วย เมื่อการปฏิสังขรณ์เสร็จสิ้นลง พระราชทานนามวัดใหม่ว่า “วัดอรุณราชวราราม”

    ประว้ติการสร้าง

    ในปี พ.ศ. 2509 ทางวัดอรุณโดย ท่านสมเด็จพระพุฒาจารย์(วน) อดีตเจ้าอาวาสวัดอรุณในสมัยนั้นได้จัดพิธีมหาพุทธาภิเษกขึ้นที่ วัดอรุณราชวราราม เป็นพิธียิ่งใหญ่มากในสมัยนั้น โดยทางวัดอรุณได้นิมนต์พระเกจิอาจารย์จากทั่วประเทศจำนวน 108 รูปและตามใบฝอยของวัดในสมัยนั้นยังระบุไว้อย่างชัดเจนถึงพระเกจิอาจารย์รูปที่ 109 ที่ไม่ได้มาในพิธีแต่ได้ร่วมปลุกอยู่ที่วัดของท่านโดยจะส่งกระแสจิตมาร่วมปลุกเสกในพิธีนี้ พระเกจิอาจารย์รูปที่ 109 ท่านนั้นก็คือ ท่านเจ้าคุณฯนรรัตน์ราชมานิตย์ วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพฯ

    ส่วนมวลสารผสมผงศักดิ์สิทธิ์จากทั่วประเทศ (ตามแจ้งในใบฝอยของทางวัด) ระบุว่าสร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์ในวาระครบ 100 ปี ของพระเครื่องสมเด็จฯพระพุฒาจารย์ฯ (โต ) พรหมรังษี โดยทางวัดอรุณได้ผสมมวลสารจาก ผงจากพระสมเด็จวัดระฆังที่แตกหัก ผงจากพระสมเด็จวัดบางขุนพรหมที่แตกหัก ผงจากพระสมเด็จวัดเกศไชโยที่แตกหัก โดยเฉพาะผงจากพระสมเด็จวัดบางขุนพรหมที่แตกหัก นั้นในใบฝอยของวัดอรุณในสมัยนั้นระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ผสมลงในพระสมเด็จวัดอรุณรุ่นนี้อย่างเข้มข้น และยังมีมวลสารวิเศษอีกมากมาย เช่น ผงธูปที่บูชาพระพุทธรูปสำคัญ..ดินจากสถานที่สำคัญต่างๆ ดินสังเวชนียสถานสี่ตำบล ว่าน 400 กว่าชนิด เกสรดอกไม้ 108 ชนิด จุดสังเกตุของพระสมเด็จ วัดอรุณรุ่นนี้คือ ด้านหลังพระสมเด็จรุ่นนี้จะประทับตราแผ่นดิน (เล็ก) ไว้ทุกองค์ นอกจาก พระสมเด็จหลังตราแผ่นดินวัดอรุณ ที่ทางวัดได้จัดสร้างในครั้งนี้แล้ว
    ทางวัดอรุณยังได้จัดสร้าง 1.เหรียญกลมเล็กเป็นรูปพระพุทธ ด้านหลังเป็นรูปพระปรางค์วัดอรุณระบุปีที่สร้างเป็นปี 2508 และ2.เหรียญสมเด็จพระเจ้าตากสินหลังเป็นรูปพระปรางค์วัดอรุณคล้ายเหรียญปี 2506 จะแตกต่างก็คือเหรียญรุ่นนี้จะมีเลข ๑ ไทยที่ใต้ฐานทุกองค์เพื่อเป็นจุดสังเกตุเพื่อแยกระหว่างเหรียญปี 2506 กับเหรียญปี 2509 รุ่นนี้ แต่เหรียญกลมเล็กรูปพระพุทธจะระบุปีที่สร้างเป็นปี 2508 เพราะจัดสร้างเหรียญในปี 2508 แต่มารวมจัดพิธีปลุกเสกและออกในปี 2509 พร้อมกับพระสมเด็จวัดอรุณ รุ่นปี 2509 นี้

    ส่วนพระเกจิอาจารย์ที่ได้เข้าร่วมพิธีในครั้งนั้น ล้วนเป็นพระเกจิอาจารย์ผู้เรืองวิทยาคมในยุคนั้นทั้งสิ้น อาทิเช่น

    1. หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม จ.นครปฐม
    2. หลวงปู่นาค วัดระฆัง กรุงเทพฯ
    3. หลวงพ่อทอง วัดจักรวรรดิ์
    4. หลวงปู่เทียน วัดโบสถ์ ปทุมธานี
    5. หลวพ่อเนื่อง วัดจุฬามณี
    6. หลวงพ่อเต๋ คงทอง วัดสามง่าม
    8. หลวงพ่อแทน วัดธรรมเสน
    9.พ่อท่านคล้าย วัดสวนขัน
    10.หลวงพ่อเส่ง วัดกัลยาฯ
    11.หลวงพ่อเล็ก วัดเขาดิน
    12.หลวงพ่อเอีย วัดบ้านด่าน
    13.หลวงปู่เทียม วัดกษัตราธิราช
    14.หลวงพ่อโด่ วัดนามะตูม เป็นต้น

    โดยมี พ่อท่านคล้าย วัดสวนขัน เป็นประธานจุดเทียนชัย จึงถือได้ว่า พระสมเด็จหลังตราแผ่นดิน (เล็ก) เหรียญกลมเล็กรูปพระพุทธ เหรียญสมเด็จพระเจ้าตากสิน วัดอรุณ ปี พ.ศ. 2509 เป็นวัตถุมงคลของวัดอรุณราชวรารามที่น่าใช้น่าเก็บสะสมอีกรุ่นหนึ่งครับ

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระสมเด็จวัดอรุณ


    IMG_20250307_010248.jpg IMG_20250307_010150.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...